ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.34 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ตลาดรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีน ในเดือนต.ค.
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.34 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.41 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซน 154 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเหนือโซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม จากแรงขายหุ้นเทคฯใหญ่สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มระมัดระวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลงทุนในธีม AI ของบรรดาบริษัทเทคฯใหญ่
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันและเข้าสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยง ตามแรงขายหุ้นเทคฯใหญ่ อาทิ Meta -11.3% และ Microsoft -2.9% หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลต่อแนวโน้มการเดินหน้าลงทุนในธีม AI ของบรรดาบริษัทเทคฯใหญ่ดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มผลกำไรในอนาคตได้ นอกจากนี้ความไม่แน่นอนของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดก็มีส่วนกดดันบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ในฝั่งสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.99% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.57%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.23% ตอบรับความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ส่วนในฝั่ง ECB ก็ยังมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในระดับ 2.00% ต่อ นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาผสมผสาน ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็พอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +2.0%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯทยอยปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดโดยบรรดาผู้เล่นในตลาด ทว่าภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็พอช่วยชะลอการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้บ้าง และทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯยังแกว่งตัวแถว 4.10% เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์สหรัฐฯยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้ หากผู้เล่นในตลาดรับรู้ปัจจัยเชิงบวกที่อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสเฟดลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ ราว 74% และให้โอกาสราว 56% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีหน้า)
โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดโดยบรรดาผู้เล่นในตลาด นอกจากนี้เงินดอลลาร์ยังได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 99.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.1-99.7 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.2025) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 4,040-4,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง แม้จะเผชิญแรงกดดันบ้างจากการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีนในเดือนตุลาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะหลังรับรู้ข่าวข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนล่าสุด ที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองประเทศ
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนในเดือนตุลาคม ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยังคงเกินระดับ 2.0% ทำให้ ECB ยังมีโอกาสคงดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ต่อได้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) ยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามจังหวะการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทว่า การอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่นก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็คงมองว่า BOJ ยังมีแนวโน้มทยอยเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งน่าจะช่วยหนุนเงินเยนญี่ปุ่น (เราคงมุมมองเดิมว่า Buy JPY on Dip ยังเป็นไอเดียที่น่าสนใจ และมองว่า เงินเยนญี่ปุ่นมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 145 เยนต่อดอลลาร์ รวมถึงโซน 22 บาทต่อ 100 เยน ได้ภายในปีหน้า) ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ รวมถึงปรับสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) เมื่อเงินบาทได้อ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน ซึ่งล่าสุดโซนแนวต้านได้ขยับมาสู่โซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้พบว่า เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาทองคำมากขึ้น โดยยังคงพบว่า จังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท (ในทางกลับกัน การย่อตัวลงบ้างของราคาทองคำ ก็จะพอกดดันเงินบาทได้บ้าง) ซึ่งในช่วงนี้ เรามองว่า ราคาทองคำก็มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ Sideways แม้จะพอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ก็ถูกกดดันจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ราคาทองคำยังขาดปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมที่จะทำให้มีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งเรามองว่า ตลาดต้องรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯเพิ่มเติม
รวมถึง รับรู้ปัจจัยสำคัญ อย่างการพิจารณาคดีเกี่ยวกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีการใช้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ซึ่งจะมี first hearing ในช่วงวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ และคาดว่า ศาลสูงสุดจะมีคำพิพากษาต่อคดีดังกล่าวได้เร็วสุดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
ทั้งนี้แม้เราจะมองว่า เงินบาทก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน โดยเงินบาทยังพอมีโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวต้านอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ แต่เราขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของเงินบาทที่อยู่ในระดับสูงขึ้นชัดเจน จากช่วงก่อนหน้า และมองว่า เงินบาทก็ยังอยู่ในภาวะผันผวนสูงไปอีกสักระยะ
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลัก (อย่างล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ BOJ จนส่งผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่น) ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.20-32.50 บาทต่อดอลลาร์











