การเมืองไทยช่วงนี้ คล้ายกับฉากหนึ่งใน สามก๊ก ช่วงที่ สุมาอี้ ยังเป็นคนรับใช้ของ โจโฉ มีหน้าที่วิ่งตามรถม้า และคอยก้มหลังคลานสี่ขาให้ โจโฉ เหยียบแทนบันได
ในระหว่างการศึกที่ โจโฉ ระดมพลเรือนแสนเข้ารบกับทัพของ ขงเบ้ง ซึ่งมีน้อยกว่าเป็นเท่าตัว แต่ไม่สามารถเอาชนะได้
โจโฉ จึงเหยียบหลัง สุมาอี้ ก้าวลงจากรถม้า เพื่อเดินไปที่หน้าแนว จะได้เห็นสถานการณ์ชัด ๆ โดยสวมรองเท้าไปข้างเดียว เมื่อ สุมาอี้ เห็นก็ตกใจเพราะกลัวเจ้านายจะเจ็บฝ่าเท้า (ตีน) จึงรีบปีนขึ้นรถม้าไปหยิบเอารองเท้าอีกข้างวิ่งไปให้ โจโฉ สวม โดยบอกว่า “เจ้านายลืมสวมรองเท้า”
แทนที่ โจโฉ ปฏิเสธที่จะสวมรองเท้าและยกฝ่าเท้าให้ สุมาอี้ ดู ก่อนถามว่า “เจ้าเห็นฝ่าเท้าของข้าไหม มันขาวยิ่งกว่าใบหน้าและฝ่ามือ เหตุที่มันถึงขาวเช่นนี้ ก็เพราะถูกซ่อนอยู่ในรองเท้าตลอดเวลา”
หากใครอยากคิดการณ์ใหญ่ จะต้องรู้จัก “ซ่อนใจ” เหมือน “ซ่อนฝ่าเท้า”
ต่อมา สุมาอี้ ได้รับการโปรโมทให้เป็น แม่ทัพใหญ่ เพราะเป็นคนเดียวที่พอจะรับมือ ขงเบ้ง ได้ แต่ความฉลาดลึกซึ้งของสุมาอี้ในกลศึกและการปกครอง ทำให้โจโฉรู้สึกระแวงแคลงใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนตายได้สั่งเสียลูกหลาน ว่า “อย่าไว้ใจสุมาอี้” พร้อมกับจับ สุมาอี้ ขึ้นหิ้งไปรับตำแหน่ง ราชครู ทำหน้าที่สอนหนังสือลูกหลานของโจโฉ
สุมาอี้ไม่ได้แสดงอาการน้อยเนื้อต่ำใจ รับหน้าที่เป็นราชครู แต่ขณะเดียวกันก็ เสี้ยม ให้ ลูกโจโฉ ฆ่ากันเองเพื่อชิงบัลลังก์ จากนั้นก็กลับมามีอำนาจ ได้คุมทหารอีกครั้ง จนสามารถปราบก๊กของ เล่าปี และ ซุนกวน ได้อย่างราบคาบ ผนึกแผ่นดินจีนเป็นหนึ่ง และ ยกให้ลูกโจโฉขึ้นครองอำนาจ
แต่ลูกโจโฉอยู่ได้ไม่นานก็ป่วยตาย หลานโจโฉ ขึ้นมาครองอำนาจแทน โดยมี ญาติผู้ใหญ่ คอยประคับประคอง และญาติเหล่านี้ไม่ไว้ใจสุมาอี้เลย จึงแซะให้พ้นจากอำนาจอีกครั้ง โดยส่งกลับบ้านไปปลูกผักใช้ชีวิตบั้นปลาย พร้อมกับส่งสาวเอ๊าะ ๆ ไปดูแลรับใช้อีก 1 คน
สาวเอ๊าะ ๆ ดังกล่าวไม่ได้ถูกส่งทำหน้าที่เป็นเมียอย่างเดียว แต่ทำตัวเป็นสาบสืบคอยรายงานพฤติการณ์ของสุมาอี้ให้หลานโจโฉรับทราบตลอดเวลา
ต่อมาสุมาอี้ได้ทำให้สาวเอ๊าะ ๆ ตั้งท้อง และสั่งให้หมอเอายาพิษเจือยาบำรุง เพื่อฤทธิ์ของยาไปฆ่าเด็กและแม่ในช่วงใกล้คลอด พอถึงเวลาสาวเอ๊าะ ๆ ก็ตายจริง ๆ สุมาอี้แกล้งทำเป็นเสียใจ จึงลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้นดิน กลายเป็น คนเสียสติ หลานโจโฉรู้ข่าวก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงส่ง มหาอำมาตย์ ไปเยี่ยมเพื่อดูให้เห็นกับตาว่า แล้วก็เห็นว่า…สุมาอี้บ้าไปแล้วจริง ๆ
หลานโจโฉพร้อมญาติทั้งตระกูลจึงฉลองชัยชนะ ด้วยการจัดขบวนออกนอกเมืองเพื่อกราบไหว้สุสานบรรพบุรุษ หรือไปบอกโจโฉให้รู้ว่า จัดการกับสุมาอี้เรียบร้อยแล้ว
ส่วนทางสุมาอี้เมื่อรู้ข่าว หลานโจโฉพาญาติไปไหว้สุสานบรรพบุรุษ จึงลุกขึ้นสั่งลูกชายให้เรียกขุนทหารมาพบ ปรากฏว่า ลูกชายสุมาอี้ตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพ่อเสียสตินอนซมมาหลายเดือน อยู่ ๆ ก็ฟื้นขึ้นมาเฉย ๆ
สุมาอี้ จึงบอกกับลูกชายว่า “ไม่ได้บ้า แต่แกล้งบ้าจนลูกชายของตัวเองยังเชื่อว่าบ้าจริงๆ”
เมื่อขุนทหารมากันพร้อมหน้า สุมาอี้จึงสั่งยึดเมือง พร้อมกับยกทัพไปจับตัวหลานโจโฉพร้อมกับญาติทั้งหมด จากนั้นก็ให้ทหารจับหลานโจโฉคุกเข่า และกดหน้าให้แนบกับพื้นดิน ก่อนที่สุมาอี้จะสวมรองเท้าข้างเดียวเดินมาหา เพื่อเอาเท้าอีกข้างที่ไม่ได้สวมรองเท้าเหยียบไปบนใบหน้าของหลานโจโฉ พร้อมกับพูดว่า “เห็นฝ่าเท้านี้ไหม มันขาวยิ่งกว่าใบหน้าเสียอีก ฉะนั้นอย่าคิดว่าเป็นบ้า เพียงแต่แกล้งบ้า เพื่อให้ทุกคนตายใจ และคนที่สอนให้อดทนซ่อนใจเหมือนซ่อนฝ่าเท้า ก็ไม่ใช่ใคร คือ โจโฉนั่นเอง”
สุมาอี้…พูดเสร็จก็ตวัดดาบ ตัดคอหลานโจโฉตายอยู่ตรงนั้น
สามก๊กสู้กันมาตั้งนาน โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน ท้ายสุดอำนาจทั้งหมดกลับตกไปอยู่กับ สุมาอี้ อดีตคนรับใช้ของโจโฉซึ่ง ใช้ความอดทนซ่อนใจเหมือนซ่อนฝ่าเท้า เพื่อรอให้โอกาสมาถึง
เกมแก้รัฐธรรมนูญเป็นการต่อสู้ของคน 3 กลุ่ม ที่มีใครบางคนเล่นบทเป็นสุมาอี้ พยายามซ่อนใจให้เหมือนซ่อนฝ่าเท้า เพื่อรอโอกาสมาถึง
ส่วนใครบางคนที่ว่านี้ จะมีหน้าตาคล้ายกับผู้ที่แสดงบทบาทในสภา จน ส.ว.เคลือบแคลงใจหรือเปล่า..?? คงต้องรอดูอีกนิด.
………………………
#ดินสอโดม
บทความที่เกี่ยวข้อง…
อ่านสามก๊ก อ่านเกมแก้ รธน.
https://thekey.news/highlight/5747/