“ซูเปอร์โพล” โชว์สุ่มสำรวจคนในโลกความเป็นจริง ชี้ชัด “ประชาชนรักในหลวง” มีส่วนน้อยที่เห็นต่าง แต่ใช้โซเชียลมีเดียยุยงปลุกปั่น ทำคนไทยแตกแยก แบ่งเป็นสองขั้ว ทางออกคือ ต้องออกแบบเป็นโปรแกรมชุดโครงการในการปกป้องเทิดทูนในหลวงและสถาบันหลักของชาติ
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ประชาชนรักในหลวง กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,214 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20-26 พ.ย.ที่ผ่านมา
เมื่อถามถึงความสำนึกและความรักของประชาชนต่อในหลวง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.5 เชื่อว่า ประชาชนผู้ใจเป็นธรรม “รักในหลวง” รองลงมาคือร้อยละ 97.9 สำนึกว่า “ในหลวง” ทรงงานอยู่เบื้องหลังช่วยเหลือประชาชนและวิกฤตชาติ เช่น ช่วย 13 ชีวิตเด็กที่ถ้ำหลวง แก้วิกฤตโควิด-19 แก้ปัญหาที่ทำกินของเกษตกร และ โคกหนองนาโมเดล เป็นต้น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.4 สำนึกว่า “ในหลวง” ทรงเสี่ยงชีวิตและสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล ในขณะที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.3 สำนึกว่า “ในหลวง” ทรงสละทรัพย์สินส่วนพระองค์ เพื่อประชาชนด้านต่าง ๆ เช่น สุขภาพ และการศึกษา เป็นต้น และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.9 สำนึกว่า “ในหลวง” ทรงรักประชาชนอย่างเท่าเทียม แม้แต่ในกลุ่มผู้มีอคติ ถูกยุยงปลุกปั่น ตามลำดับ
เมื่อจำแนกแบ่งเป็นกลุ่มเยาวชน และกลุ่มที่ไม่ใช่เยาวชน พบส่วนใหญ่ของทั้งสองกลุ่ม มีความสำนึกและความรัก “ในหลวง” เช่นกัน โดยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.9 ของกลุ่มเยาวชน และร้อยละ 98.7 ของกลุ่มไม่ใช่เยาวชน เชื่อว่า ประชาชนผู้ใจเป็นธรรม รักในหลวง นอกจากนี้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.5 ของกลุ่มเยาวชน และร้อยละ 98.2 ของกลุ่มไม่ใช่เยาวชน สำนึกว่า “ในหลวง” ทรงงานอยู่เบื้องหลังช่วยเหลือประชาชนและวิกฤตชาติ เช่น ช่วย 13 ชีวิตเด็กที่ถ้ำหลวง แก้วิกฤตโควิด-19 แก้ปัญหาที่ทำกินของเกษตรกร และโคกหนองนาโมเดล เป็นต้น ในขณะที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.2 ของกลุ่มเยาวชนและส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.7 ของกลุ่มไม่ใช่เยาวชนสำนึกว่า “ในหลวง” ทรงเสี่ยงชีวิตและสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.4 ของกลุ่มเยาวชน และร้อยละ 97.7 ของกลุ่มไม่ใช่เยาวชน สำนึกว่า “ในหลวง” สละทรัพย์สินส่วนพระองค์ เพื่อประชาชนด้านต่าง ๆ เช่น สุขภาพ และการศึกษา นอกจากนี้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.8 ของกลุ่มเยาวชน และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.3 ของกลุ่มไม่ใช่เยาวชน สำนึกว่า “ในหลวง” ทรงรักประชาชนอย่างเท่าเทียม แม้แต่ในกลุ่มผู้มีอคติ ถูกยุยงปลุกปั่น
ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.6 อยากเห็น ประชาชนพิจารณาแยกแยะเรื่องส่วนตัวของประชาชนแต่ละคนเอง ว่าเป็นอย่างไร และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.1 อยากเห็นประชาชนผู้มีสัมมาทิฏฐิ จิตใจบริสุทธิ์เป็นกลางแท้จริง ต่อต้านข่าวใส่ร้าย ต่อต้านการคุกคามในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งของประชาชน
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลนี้ชี้ชัดว่า “ประชาชนรักในหลวง” ส่วนที่เหลือคือคนส่วนน้อยที่เห็นต่าง แต่ต้องให้ความสำคัญความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติของกลุ่มคนเห็นต่างด้วยจะประมาทไม่ได้ เพราะคนส่วนน้อยกำลังใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือยุยงปลุกปั่น ทำคนไทยแบ่งเป็นสองขั้ว สร้างความแตกแยกของคนในชาติ ถ้าปล่อยไว้จะเป็นปัญหาที่ลุกลามบานปลายได้ ทางออกคือ ต้องออกแบบเป็นโปรแกรมชุดโครงการในการปกป้องเทิดทูนในหลวงและสถาบันหลักของชาติโดยต้องทำอย่างเป็นระบบด้วยหลักปฏิบัติที่ว่า “วิเคราะห์จิต พิชิตใจ เข้าถึงทุกกลุ่ม ครอบคลุมเป้าหมาย” ผ่านการประเมินขั้นสุทธิ (Net Assessment) ที่กระชับ ไม่สะเปะสะปะ ต่างคนต่างทำแบบเส้นหวายที่ฟาดไปทีละเส้นเพราะนั่นมันไร้พลัง แต่ต้องมัดรวมกันเป็นกำที่มากพอ เพื่อทำให้เกิดพลังขับเคลื่อนสู่เป้าหมายที่ตั้งมั่นไว้ โดยไม่ปฏิบัติต่อประชาชนที่เห็นต่างเป็นศัตรู แต่ให้ถือเป็นสิ่งในร่างกายประเทศที่กระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันแข็งแรงมากขึ้นในจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดินและปกป้องรักษาในหลวงและสถาบันหลักของชาติได้ดียิ่งขึ้น
“ผลโพลนี้สุ่มสำรวจกับคนในโลกความเป็นจริง ไม่ใช่คนในโลกโซเชียล จึงเป็นเสียงของคนที่มีตัวตนแท้จริง ไม่ใช่คนอวตารในโลกโซเชียล และไม่มีการเสนอตัว ไม่มีการจัดตั้งฝูงคนเข้ามาตอบแบบสอบถามในการสำรวจนี้” ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว