วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight“วัคซีนภูมิแพ้” ตัวช่วยที่จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“วัคซีนภูมิแพ้” ตัวช่วยที่จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

การมี “วัคซีนภูมิแพ้” ถือว่าเป็นข่าวดี สำหรับคนที่โรคภูมิแพ้ เพราะวัคซีนจะช่วยลดอาการที่เป็นได้  อาจทำให้ไม่ต้องกินยาไปตลอด และมีโอกาสที่จะหายขาดเป็นปกติได้อีกด้วย

พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา โรงพยาบาลนวเวช อธิบายว่า วัคซีนภูมิแพ้ (Allergen Immunotherapy) คือการใช้สารสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้มาให้กลับเข้าสู่ร่างกายเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาใหม่ต่อสิ่งที่แพ้ แต่วัคซีนภูมิแพ้นั้นไม่เหมือนกับวัคซีนที่เราฉีดในวัยเด็ก เพราะวัคซีนที่ฉีดในวัยเด็ก ฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรค เช่น วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันบาดทะยัก ไอกรน คอตีบ ส่วนวัคซีนภูมิแพ้ไม่ได้ฉีดเพื่อป้องกันโรค แต่ฉีดเพื่อรักษาโรคภูมิแพ้

วัคซีนภูมิแพ้ เหมาะกับโรคโพรงจมูกและเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinoconjunctivitis) โรคหอบหืดจากภูมิแพ้ (Allergic asthma) โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) ที่ใช้ยารักษาอาการหลายชนิดแล้วไม่ดีขึ้น ไม่อยากกินยาหรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยา

Mother and daughter playing in the spring meadow

การให้วัคซีนมี 2 รูปแบบ คือ ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) และ อมใต้ลิ้น (Sublingual) โดยจะต้องทราบสาเหตุการแพ้อย่างเฉพาะเจาะจงในผู้ป่วยแต่ล่ะคนก่อน ด้วยการตรวจวิธี SPT หรือ Blood Test for Specific IgE เพื่อพิจารณาเลือกการรักษา ใช้สารสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ได้ตรงกับสาเหตุ หลังจากนั้นเลือกวิธีการ รูปแบบการรักษาที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วย โดยพิจารณาตามสาเหตุที่แพ้ ช่วงอายุ และความเหมาะสม เช่น ชนิดอมใต้ลิ้นใช้ได้ในผู้ป่วยแพ้ไรฝุ่นที่มีอายุ 12 ปี ขึ้นไป เนื่องจากต้องอาศัยความร่วมมือค่อนข้างมาก

สำหรับวัคซีนชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนังนั้น ในช่วงแรก (Induction Phase) ฉีด 1 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นอย่างน้อยแล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณวัคซีนทีละน้อย จนกระทั่งได้ระดับสูงสุดที่ผู้ป่วยรับได้ อาจใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน แล้วแต่คน ช่วงถัดไป (Maintenance Phase) ฉีดให้ห่างขึ้นได้เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้สร้างภูมิใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง และใช้ต่อเนื่องนาน 3-5 ปี เพื่อประสิทธิภาพดีที่สุด

สำหรับประโยชน์ของ วัคซีนภูมิแพ้ ที่เห็นได้ชัดคือเป็นการรักษาที่ตรงจุด แก้ที่กลไกของโรคโดยตรง ผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อวัคซีนและฉีดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้น ลดการกินยา ใช้ยาได้ อาจช่วยป้องกันผู้ป่วยจมูกอักเสบภูมิแพ้ ไม่ให้ดำเนินโรคต่อเป็นโรคหืดและอาจป้องกันการแพ้สารใหม่เพิ่มเติมในอนาคต

ส่วน วัคซีนฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หลังจากหยุดฉีด อาการจะเป็นอย่างไรนั้น พญ.สิริรักษ์ ให้ข้อมูลว่า จากข้อมูลพบว่าหากหยุดฉีดหลังจากที่ฉีดครบ 3-5 ปีแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการภูมิแพ้ยังดีต่อไปได้อีกหลายปี วัคซีนภูมิแพ้จึงนับว่าเป็นการรักษาเดียวในปัจจุบัน ที่มีแนวโน้มจะทำให้ตัวโรคภูมิแพ้หายขาดหรือดีขึ้นจากเดิม

พญ.สิริรักษ์ ยังแนะนำด้วยว่าคนที่จะรับการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ด้วยว่า การฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้เข้าไปทีละน้อย แม้จะเจือจางน้ำยาแล้ว บางรายที่มีความไวต่อสิ่งกระตุ้น อาจมีอาการแพ้วัคซีนได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่ฉีด แพทย์จึงให้สังเกตอาการในโรงพยาบาลอย่างน้อย 30 นาที งดการออกกำลังกายหลังฉีดในวันนั้น สำหรับผู้ป่วยโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้บางคนมีภาวะเยื่อบุโพรงจมูกไวร่วมด้วย ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีอาการคัดจมูกเวลาอากาศเปลี่ยน และอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่บ้างแม้ว่าจะได้รับวัคซีนภูมิแพ้แล้วก็ตาม

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img