วันอาทิตย์, มกราคม 12, 2025
หน้าแรกHighlightชวนรู้จัก....“โรค Conversion Disorder” โรคต้องการความเข้าใจไม่ใช่คำวิจารณ์
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ชวนรู้จัก….“โรค Conversion Disorder” โรคต้องการความเข้าใจไม่ใช่คำวิจารณ์

ในยุคปัจจุบัน ภาวะ “เครียดจนป่วย” ได้กลายเป็นเรื่องปกติที่เราเห็นได้ตลอด ซึ่งบ่อยครั้งการป่วยจากความเครียดไม่ใช่การแกล้งทำ หรือการเรียกร้องความสนใจอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด อย่างกรณีล่าสุดของ “จ้าว ลู่ซือ” นางเอกสาวชาวจีนที่มีความเครียดจนป่วยหนัก มีภาวะร่างกายอ่อนแรงและการรับรู้ทางประสาทลดลง ซึ่งเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “Conversion Disorder” โรคที่ปัญหาสุขภาพจิตไปรบกวนการทำงานของสมอง ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางกายโดยที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมได้

วันนี้ พญ.เพ็ญชาญา อติวรรณาพัฒน์ จิตแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวช ศูนย์สุขภาพใจ รพ.วิมุต จะพาไปทำความรู้จักกับ โรค Conversion Disorder เพื่อตอกย้ำให้สังคมเข้าใจว่าโรคทางจิตใจก็ทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกายได้ พร้อมแนะนำแนวทางการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคนี้

พญ.เพ็ญชาญา-อติวรรณาพัฒน์

Conversion Disorder โรคทางจิตที่ทำให้เกิดอาการทางกาย

Conversion Disorder เป็นโรคที่เกิดจากปัญหาสุขภาพจิตไปขัดขวางการทำงานของสมอง พบได้บ่อยในแผนกผู้ป่วยทั่วไป โดยคนไข้มักมาพร้อมกับความผิดปกติทางกาย ทั้งด้านการเคลื่อนไหวและด้านประสาทสัมผัส แต่เมื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดด้วยการตรวจเลือดหรือการตรวจทางรังสีกลับไม่พบความผิดปกติ จึงไม่สามารถอธิบายโรคนี้ได้ด้วยผลการตรวจร่างกาย แต่อาการทั้งหมดเกิดขึ้นจริงโดยที่ผู้ป่วยไม่ได้ตั้งใจ

เครียด กดดัน ประสบการณ์ไม่ดี ปัจจัยกระตุ้น Conversion Disorder

Conversion Disorder มักเกิดจากความเครียด ความกดดัน และประสบการณ์ที่มีผลกระทบต่อจิตใจจนแสดงอาการออกมาทางกาย เช่น ตัวชา ชัก พูดไม่ได้ ตาพร่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินไม่ได้ หรือไม่ได้ยินเสียง 

พญ.เพ็ญชาญา ยกตัวอย่างกรณีที่น่าสนใจว่า “มีวัยรุ่นทะเลาะกับแม่แล้วกรี๊ดออกมา หลังจากนั้นก็พูดไม่ได้เลย แต่ยังไอและทำเสียงอืออาได้ปกติ หลังจากนั้น 2-3 วันก็กลับมาพูดได้ นอกจากนี้ สมัยก่อนเราอาจได้ยินชื่อ โรคฮิสทีเรีย ซึ่งปัจจุบันทางการแพทย์ได้จัดให้อยู่ในกลุ่ม Conversion Disorder โดยส่วนใหญ่มีอาการการคล้ายกัน อย่างการพูดหรือเดินไม่ได้แบบฉับพลัน อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือทหารในช่วงสงครามโลก เพราะต้องเผชิญกับความเครียดและความกดดันในสนามรบสูงมากจนเกิดอาการทางกายจากโรคนี้”

หัวใจสำคัญในการรักษา Conversion Disorder คือความเข้าใจ

การวินิจฉัยกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับ Conversion Disorder จะประเมินด้วยเจตนาและเป้าหมายของผู้ป่วย โดยสามารถจำแนกได้คือ Conversion Disorder เป็นภาวะที่ผู้ป่วยไม่มีเจตนาในการแสดงอาการ และอาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอาการจริงที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยผลการตรวจร่างกาย Factitious Disorder เป็นภาวะที่ผู้ป่วยแกล้งป่วยโดยเพื่อเรียกร้องความสนใจ และสุดท้ายคือ Malingering ภาวะที่ผู้ป่วยเจตนาแกล้งป่วยเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์หรือหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจร่างกายและการวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อยืนยันว่าเป็น Conversion Disorder จริงหรือไม่ เพราะหากวินิจฉัยผิดพลาดอาจรักษาไม่ถูกวิธีและทำให้ผู้ป่วยอาการแย่ลงได้ 

พญ.เพ็ญชาญา อธิบายต่อว่า การรักษาโรค Conversion Disorder สามารถทำได้ทั้งวิธีจิตบำบัด กายภาพบำบัด หรือการใช้ยา โดยปรับให้เหมาะสมกับแต่ละคน โดยระหว่างการรักษาก็ต้องอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจผู้ป่วยว่าอาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ จนหายดี นอกจากนี้อาจต้องระวังคำพูดอย่าง ‘ตรวจร่างกายแล้วก็ปกติ’ หรือ ‘คิดไปเองหรือเปล่า’ เพราะอาจกระทบจิตใจผู้ป่วยจนอาการแย่ลงได้ เมื่อผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้น จิตใจมั่นคงขึ้น เราจะค่อย ๆ ให้ผู้ป่วยทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไปของอาการ และหาวิธีรับมือกับสิ่งที่มากระทบจิตใจจนทำให้แสดงอาการ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากคนรอบตัวด้วย

“อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า Conversion Disorder ทำให้เกิดความผิดปกติทางกายได้จริง ไม่ใช่การแกล้งทำหรือการเรียกร้องความสนใจ ตัวผู้ป่วยเองก็มักจะสับสนและกังวลกับอาการที่เกิดขึ้นมากอยู่แล้ว เราก็ควรช่วยผู้ป่วยด้วยการให้กำลังใจและรับฟังผู้ป่วยให้มากๆ และไม่กดดันหรือเร่งให้ผู้ป่วยหาย แต่ควรให้เวลาในการรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเราสร้างเซฟโซนให้ผู้ป่วย จิตใจพวกเขาก็จะดีขึ้น และอาการทางกายก็จะหายดี” พญ.เพ็ญชาญา กล่าวทิ้งท้าย

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img