วันศุกร์, มิถุนายน 13, 2025
หน้าแรกHighlightเตือน!!! “ฟิต”แค่ไหน ก็หัวใจวายได้
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เตือน!!! “ฟิต”แค่ไหน ก็หัวใจวายได้

“ออกกำลังกายเป็นประจำ กินคลีนทุกวัน ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ จะเป็นโรคหัวใจได้ยังไง?” คำถามนี้อาจเป็นสิ่งที่หลายคนสงสัย เพราะเชื่อว่า แค่ดูแลสุขภาพให้ดีก็เพียงพอแล้ว แต่ความเป็นจริง “โรคหัวใจ” ไม่ได้เลือกเฉพาะคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเท่านั้น แม้คนที่ดูแข็งแรงจากภายนอก ก็อาจไม่รู้ตัวว่า “หัวใจกำลังส่งสัญญาณบางอย่างอยู่”

การออกกำลังกายแม้จะช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกาย และลดความเสี่ยงของโรคหลายชนิด แต่ก็ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันโรคหัวใจได้ 100% โดยเฉพาะใน ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบแฝง ดังนั้น การออกกำลังกายอย่างหนักอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือหัวใจวายเฉียบพลันได้

หัวใจวายเฉียบพลันไม่ใช่เรื่องไกลตัว

หลายครั้งเราพบข่าวนักวิ่งมาราธอนในวัยเพียง 20–30 ปี ล้มหมดสติขณะวิ่ง และเสียชีวิตด้วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ทั้งที่ไม่มีโรคประจำตัว หรือประวัติเจ็บป่วยใดๆ มาก่อน

เหตุการณ์ลักษณะนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่สะท้อนว่า โรคหัวใจสามารถคุกคามได้ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ และมั่นใจในสุขภาพของตนเองมากเกินไป เช่น ออกกำลังกายหนักโดยไม่ตรวจสุขภาพก่อน หรือคิดว่าออกกำลังกายแล้วสามารถกินอะไรก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น โรคหัวใจแต่กำเนิด ลิ่มเลือดอุดตัน และภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ล้วนเกิดขึ้นได้แม้ในผู้ที่ดูสุขภาพดีจากภายนอก

พญ.ฐิศิรักน์ ฉินนะโสต

พญ.ฐิศิรักน์ ฉินนะโสต แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ กล่าวว่า “แม้จะออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารดี แต่หากมีพันธุกรรมของโรคหัวใจ หรือมีไขมันสะสมในเลือด ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ หลายคนเสียชีวิตกะทันหัน เพราะไม่เคยตรวจสุขภาพหัวใจมาก่อน ความฟิตของร่างกายภายนอกไม่ได้สะท้อนความแข็งแรงของหลอดเลือดหัวใจภายใน ดังนั้นผู้ที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอัลตราซาวด์หัวใจ เพื่อประเมินภาวะหัวใจ สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรตรวจสุขภาพหัวใจก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายอย่างจริงจัง”

โรคหัวใจหลายชนิด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจหนา อาจไม่แสดงอาการใดๆ จนกระทั่งเกิดเหตุฉับพลัน และอาจเกิดได้แม้ในผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงชัดเจน เช่น โรคอ้วนหรือเบาหวาน ดังนั้น การดูแลหัวใจที่ดีจึงไม่ใช่เพียงการรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่คือการเฝ้าระวัง ป้องกัน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเหมาะสม

สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ หรือผู้ที่เริ่มออกกำลังกาย ควรสังเกตอาการผิดปกติต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด ได้แก่ เจ็บหน้าอกขณะออกกำลังกาย หรือ มีอาการเจ็บหน้าอกร้าวมายังแขนซ้าย หัวใจเต้นผิดจังหวะ เหนื่อยหอบแม้ในขณะพัก เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หมดสติระหว่างออกกำลังกาย ขาบวมหรือข้อเท้าบวม หายใจไม่สะดวกเวลานอนราบ รู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ อัตราการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจในระยะเริ่มต้น หรือภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาทันที

อาหาร…ตัวแปรสำคัญต่อสุขภาพหัวใจ

ปัจจัยเสี่ยงบางอย่างอาจจะควบคุมได้ เช่น ออกกำลังกายพอเหมาะ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่เรื่อง “อาหาร” เป็นหนึ่งปัจจัยที่ใครหลายคนยังคงละเลย ทั้งที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพหัวใจในระยะยาว

ดร.ปัทนภา ศรีชมเชย

ดร.ปัทนภา ศรีชมเชย นักกำหนดอาหารวิชาชีพ และผู้อำนวยการสายงานปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และบริการการศึกษา โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ กล่าวว่า “อาหารที่ดีต่อหัวใจ ไม่จำเป็นต้องมีรสจืดจนกินไม่ได้ แต่ควรเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของหัวใจ และลดอาหารที่มีผลเสียต่อหลอดเลือด”

หลักการกินเพื่อหัวใจที่แข็งแรง ได้แก่ การเพิ่มผักและผลไม้หลากสีในทุกมื้อ โดยเน้นผักสดและผลไม้ไม่หวานจัด เลือกไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ซึ่งอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ลดปริมาณเกลือและน้ำตาล หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและไขมันทรานส์ เปลี่ยนจากแป้งขัดขาวเป็นธัญพืชไม่ขัดสี งดหรือจำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เข้าถึงการรักษาโรคหัวใจง่ายขึ้น ด้วยสิทธิ์ประกันสังคมที่ รพ.วิมุต-เทพธารินทร์

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจแบบองค์รวม โดยมีทีมแพทย์เฉพาะทาง ทีมนักกำหนดอาหารวิชาชีพ และผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ร่วมทำงานกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อดูแลผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและการใช้ชีวิตประจำวัน

ล่าสุด โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการรักษาโรคหัวใจได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใน 7 รายการสำคัญ ได้แก่ การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจชนิดถาวร การใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ การศึกษาสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจและการจี้ไฟฟ้าหัวใจ การใส่เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจชนิดกระตุ้นหัวใจห้องล่างสองห้องพร้อมกัน และการจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ไฟฟ้าในการสร้างภาพ 3 มิติ ซึ่งผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิ์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ธันวาคม 2568

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

นักการเมือง…“ตกม้าตาย”เกลื่อน?

“โรงไฟฟ้าใหม่”…ที่ไม่รู้ชะตากรรม!!!

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img