ภาวะมีบุตรยากของหญิงชายในปัจจุบัน อาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือ “ท่อนำไข่ตัน”
การรักษาโดยศาสตร์แพทย์แผนจีนนั้น เป็นอีกทางเลือกในการเตรียมพร้อมร่างกายของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงโดยใช้สมุนไพรและการฝังเข็ม เพื่อสร้างความสมดุลของสุขภาพกายและสุขภาพใจเบื้องต้น ก่อนรับมือกับแนวทางการวางแผนมีบุตรอย่างปลอดภัยต่อไป
แพทย์จีนเชน ปรีชาวณิชวงศ์ แพทย์แผนจีนประจำหยินหยางคลินิก กล่าวว่า “ท่อนำไข่ เป็นท่อที่ลำเลียงไข่ให้ไปเจอกับอสุจิ ถ้าเกิดตีบหรือตันขึ้นมาก็จะลดโอกาสเจอกันของไข่กับอสุจิได้ และการที่ท่อนำไข่อุดตันนั้น มีความเสี่ยงต่อการท้องนอกมดลูกเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
วิธีการตรวจท่อนำไข่ที่ง่ายและเจ็บตัวน้อย คือ การฉีดของเหลวเข้าไปทางช่องคลอด แล้ว x-ray การไหลของของเหลวนั้น (Hysterosalpingography) หากท่อไม่ตัน เราจะเห็นของเหลวไหลเข้ามดลูก —> ท่อนำไข่ —> สุดท้ายจะกระจายฟุ้งๆ อยู่ในช่องท้องซึ่งเห็นได้จากภาพ x-ray นั่นเอง
นอกจากนี้ ยังอาจตรวจจากการผ่าตัดส่องกล้องทางช่องท้องได้ โดยการสอดกล้องเข้าทางสะดือ พร้อมกับฉีดของเหลวสีๆ เข้าทางปากมดลูก หากของเหลวนั้นออกมาจากท่อนำไข่ทั้งสองด้านเข้าสู่ช่องท้อง แสดงว่าท่อนำไข่ไม่ตัน
การที่ท่อนำไข่ตีบตันนั้น นอกจากจะทำให้มีลูกยากแล้ว ยังเสี่ยงกับการท้องนอกมดลูกอีกด้วย คนที่มีประวัติท่อนำไข่ตันแล้วตั้งครรภ์ จึงควรตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนล่างทันทีที่ทราบ เพื่อดูว่าตัวอ่อนนั้นฝังตัวอยู่ในโพรงมดลูกจริง ไม่ใช่ไปเจริญเติบโตอยู่ที่ท่อนำไข่ ซึ่งอาจทำให้ท่อนำไข่แตก และเสียเลือดมากจนมีโอกาสเสียชีวิตหากไม่รีบเข้ารับการรักษา หรือถ้าคุณไม่รู้ว่าตัวเองท่อนำไข่ตัน แต่ตั้งครรภ์แล้วปวดท้องรุนแรงมาก ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
หากท่อนำไข่ตีบหรือตันเพียงข้างเดียว คุณยังมีโอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้ เพียงแต่ต้องเข้าใจก่อนว่าปกติไข่จะตกเพียงเดือนละ 1 ใบ และไม่ได้ตกสลับซ้ายขวากันไปมาทุกเดือน ฉะนั้นถ้าไข่ตกด้านที่ท่อนำไข่ตัน โอกาสตั้งครรภ์ก็จะต่ำเกือบเป็นศูนย์ ต้องรอไปเรื่อยๆ จนกว่าไข่จะตกด้านที่ท่อนำไข่ไม่ตัน โดยแนะนำให้ใช้วิธีอัลตร้าซาวด์ช่วงวันที่ 10-12 นับจากประจำเดือนมาวันแรก เพื่อดูว่าไข่จะตกด้านใด วิธีนี้จะเหมาะกับคนที่ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ
สำหรับคนที่ต้องการมีบุตร หากท่อนำไข่ตันเพียงหนึ่งข้างหรือแค่ตีบ ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ตามธรรมชาติ หรือสามารถใช้การกระตุ้นไข่และฉีดเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก (IUI) โดยการกระตุ้นไข่จะทำให้รอบเดือนนั้นไข่ตกมากกว่า 1 ใบ เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ให้มากขึ้น แต่หากท่อนำไข่ตันทั้งสองข้าง แพทย์มักจะแนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้ว (IVF, ICSI) เพราะเป็นการเก็บไข่ของฝ่ายหญิงมาผสมกับอสุจิของฝ่ายชายในห้องทดลอง เมื่อได้ตัวอ่อนแล้วจึงย้ายกลับเข้าไปฝังในโพรงมดลูก กระบวนการทั้งหมดนี้ไม่ผ่านท่อนำไข่ จึงสามารถทำได้ ซึ่งวิธีนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง
แพทย์แผนจีนมองว่า ท่อนำไข่นั้นเป็นเหมือนเส้นทางของลมปราณชนิดหนึ่ง การที่ท่อนำไข่อุดตันนั้น เกิดจากการมี ลมปราณอุดตัน เลือดคั่ง หรือความชื้นอุดกั้นที่เส้นลมปราณตรงมดลูก เช่น ท่อนำไข่ตันที่เกิดจากพังผืดและภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิด จัดเป็นเป็นภาวะเลือดคั่งในเส้นลมปราณ หรือท่อนำไข่ตันจากการอักเสบของอุ้งเชิงกราน จัดเป็นภาวะร้อนชื้นอุดกั้นเส้นลมปราณนั่นเอง ซึ่งจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์แผนจีน จึงจะทราบได้
แพทย์แผนจีนจะใช้สมุนไพรจีนและการฝังเข็มเพื่อเปิดเส้นลมปราณ สลายเลือดคั่งและความชื้น สนับสนุนการไหลเวียนของเลือด โดยใช้หลักการไหลเวียนและทะลวงเส้นลมปราณ 疏经通络 โดยท่อนำไข่ที่ตันอาจจะซ่อมแซมจนกลับมาใช้งานได้ จนถึงขั้นสามารถตั้งครรภ์ตามธรรมชาติอีกด้วย
นอกจากท่อนำไข่ตันแล้ว ท่อนำไข่ยังอาจเกิดการอักเสบจนบวมน้ำได้ (Hydrosalpinx) ซึ่งน้ำที่อยู่ในท่อนำไข่อาจจะไหลกลับเข้าสู่โพรงมดลูก และขัดขวางการเติบโตของตัวอ่อน ส่งผลให้มีบุตรยากได้ แม้ว่าจะทำเด็กหลอดแก้วก็ตาม คุณหมออาจแนะนำให้ผ่าตัดท่อนำไข่ทิ้งก่อนๆ จะทำการย้ายตัวอ่อนต่อไป ซึ่งภาวะท่อนำไข่บวมน้ำนี้แพทย์แผนจีนสามารถใช้หลักการ “ดับร้อนแก้พิษ ขับน้ำไล่ความชื้น” 清热解毒,利水渗湿 เพื่อลดการอักเสบ และขับน้ำเสียออกจากเส้นลมปราณ ลดอาการบวมน้ำลง ทำให้หลีกเลี่ยงการผ่าตัดได้อีกทางหนึ่ง
หลังจากรักษาด้วยวิธีแพทย์แผนจีนเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว แพทย์จีนจะแนะนำให้คนไข้ตรวจท่อนำไข่อีกครั้งเพื่อดูผลการรักษาและวางแผนด้านการมีบุตรต่อไป การใช้แพทย์แผนจีนรักษาท่อนำไข่จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้ป่วยสามารถพิจารณาได้ เนื่องจากการรักษาค่อนข้างปลอดภัย ใช้เพียงสมุนไพรธรรมชาติและการฝังเข็ม ผลข้างเคียงน้อย ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าทำเด็กหลอดแก้วหรือผ่าตัดท่อนำไข่นั่นเอง”