ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์บางคนไม่รู้ว่าตัวเองป่วย หรือบางคนรู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับ ไม่กล้าไปพบแพทย์ ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม ก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด และความทุกข์ใจต่อคนในครอบครัวและคนรอบข้างได้
“โรคไบโพลาร์” (Bipolar Disorder) หรือ ‘โรคอารมณ์สองขั้ว’ เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่มีการขึ้นและลงของอารมณ์อย่างรุนแรง โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากสารเคมีในสมองทำงานผิดปกติ หรืออาจเกิดในผู้ที่มีความเครียดสะสม หรืออดนอนบ่อยๆ ร่วมด้วย การแสดงออกทางอาการแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอาการแมเนีย (Mania) คือ อารมณ์ดี คึกคัก สนุกสนาน และกลุ่มอาการซึมเศร้า (Depress) จึงเรียกโรคนี้ว่า โรคอารมณ์สองขั้ว (ขั้วบวก = แมเนีย และ ขั้วลบ = ซึมเศร้า)
โดยปกติในแต่ละวัน คนเราจะมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในระดับหนึ่งแล้วกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ รับผิดชอบหน้าที่การงาน ครอบครัว สังคมได้ แต่คนที่มีอารมณ์ผิดปกติ คือ เกิดอารมณ์ขั้วบวกหรืออารมณ์ขั้วลบเป็นเวลา 1 – 2 สัปดาห์ขึ้นไป และไม่สามารถกลับเข้าสู่อารมณ์ปกติได้ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว
การสังเกตอาการเริ่มต้นนั้นทำได้ไม่ยาก โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีสัญญาณเริ่มต้น ได้แก่ 1) ขั้วบวก คือ หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ 2-3 วัน พูดมากขึ้น ร่าเริงผิดปกติ หรือในบางคนอาจจะมีพฤติกรรมใช้จ่ายฟุ่มเฟือย 2) ขั้วลบ คือ เศร้าผิดปกติ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เบื่อหน่ายไม่อยากทำอะไร คิดลบ รู้สึกไม่อยากมีชีวิต
หากญาติหรือคนใกล้ชิดสังเกตเห็นอาการเริ่มต้นดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวล อาการเหล่านี้ไม่รุนแรง และ สามารถจัดการได้ แนะนำให้โทรศัพท์ไปปรึกษาที่โรงพยาบาลว่าควรต้องทำอย่างไรเมื่อผู้ป่วยเกิดความเจ็บป่วย หรือพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล หรือปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตได้ที่สายด่วนกรมสุขภาพจิต โทร. 1323 หรือทาง www.facebook.com/helpline1323/
เมื่อพูดถึงการรักษาหลายคนมักมีความเข้าใจผิดว่า โรคไบโพลาร์ ไม่สามารถรักษาหายได้ แต่ในความเป็นจริงโรคไบโพลาร์สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาเป็นวิธีการรักษาหลัก โดยแพทย์จะให้ยาทางจิตเวชเพื่อปรับสารสื่อประสาทและควบคุมอารณ์ พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรคและยา รวมถึงการดูแลตนเองในด้านต่างๆ ควบคู่กันไป
สำหรับผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจแนะนำให้ทำจิตบำบัดร่วมด้วยเพื่อให้สามารถจัดการกับความเครียดได้ดียิ่งขึ้น และลดความขัดแย้งกับคนรอบข้างที่เป็นสาเหตุของความเครียด โดยข้อห้ามหลักๆ คือ ไม่ควรหยุดยาเอง ไม่ควรอดนอน และไม่ควรใช้สารเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากอาการผิดปกติและกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ หากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
นอกจากนี้กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พร้อมพันธมิตร ยังได้จัดทำตารางประเมินสุขภาพอาการทั้งสองขั้วอารมณ์ของ ‘โรคไบโพลาร์’ แบบง่ายๆ เพื่อใช้ทดสอบตนเอง และใช้สังเกตคนในครอบครัวและคนรอบข้าง จะได้พบแพทย์และหาแนวทางรักษาได้อย่างถูกวิธีได้โดยไว ซึ่งโรคไบโพลาร์หากรู้ไว สามารถรักษาได้และสามารถใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
ในวันที่ 30 มี.ค. “วันไบโพลาร์โลก”ทางกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข จึงร่วมมือกับ ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จัดกิจกรรม “ใกล้ไกล ไบโพลาร์อุ่นใจ ด้วยจิตเวชทางไกล”ในวันที่ 30 มีนาคม เวลา 14.30 น. – 16.30 น. ถ่ายทอดสดผ่านทางเพจของกรมสุขภาพจิต เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีอาการและคนในครอบครัวในการรักษาอย่างถูกต้องในการดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างปกติในที่สุด