สภาผู้บริโภคร่อนหนังสือถึงประธานบอดร์ดกสทช.ใช้หลักอุดมการณ์และยืนหยัดข้างผู้บริโภคและประชาชนในการพิจารณาควบรวมทรู-ดีแทค หวั่นเกิดการผูกขาด-ลดการแข่งขันในตลาดค่ายมือถือ
นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) เปิดเผยว่า ได้ยื่นหนังสือถึงประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ขอให้คณะกรรมการ กสทช. ใช้หลักอุดมการณ์และยืนหยัดข้างผู้บริโภคและประชาชน
โดย สอบ.เรียกร้องให้ กสทช.ใช้อำนาจพิจารณาการควบรวมระหว่าง บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็สเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) เนื่องจากหลังการควบรวมจะมีการเข้าไปถือหุ้นมากกว่า 10% ในบริษัทลูก คือ บริษัท ทรูมูฟเอช จำกัด และบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด
ซึ่งทั้งสองบริษัทเป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน อันขัดต่อตามบัญญัติมาตรา 21 ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคมพ.ศ. 2544 ประกาศ กทช.เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 และประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561
ทั้งนี้ยังขัดต่อแผนแม่บท กิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2562-2566 ที่มีผลผูกพันต่อ กสทช.ในทางปกครองนับตั้งแต่วันที่ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา เรื่องการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันในกิจการโทรคมนา คม เพราะตามกฏหมยยของปี 2549 กำหนดว่า การเข้าซื้อหุ้นหรือถือหุ้นมากกว่า 10 % ของผู้ได้รับใบอนุญาตรายอื่น หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดเพื่อให้มีสิทธิกำหนดนโยบายต้องได้รับอนุญาตจาก กสทช.ก่อนเท่านั้น จะกระทำก่อนไม่ได้
นายณรงค์เดช สรุโฆษิต อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สอบ.มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าการควบรวมกิจการโทรคมนาคมดังกล่าวจะเกิดผลกระทบต่อสังคมในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าด้านการศึกษา หากคณะกรรมการ กสทช. อนุญาตให้เกิดการควบรวมกิจการทั้งสองบริษัทนี้จะทำให้เกิดการผูกขาด และลดการแข่งขันในตลาดค่ายมือถือ และตลาดอินเตอร์เน็ตที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาความรู้ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย อีกทั้งเป็นการเปิดโอกาสการเข้าถึงแหล่งความรู้จากทุกมุมโลกที่จะทำให้นักศึกษา ผู้บริโภค และประชาชนมีโอกาสพัฒนา ศักยภาพด้วยตนเอง หรือจากสถาบันการศึกษาระดับโลก
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาของคณะอนุกรรมการด้านเศรษฐศาสตร์ของ กสทช. พบว่า การควบรวมครั้งนี้เป็นอันตรายต่อการแข่งขันในตลาดผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และอินเทอร์เน็ตที่แสดงค่า HHI ที่เป็นดัชนีวัดการกระจุกตัวของตลาด ที่ กสทช. ได้กำหนดไว้ว่าไม่ควรเกิน 2500 แต่หากเกิดการควบรวม ดัชนีนี้จะทะยานสูงถึง 5007 ที่ส่งสัญญาณอันตรายต่อตลาดนี้ที่นำทรัพยากรคลื่นความถี่ของประชาชน มาบริหาร
โดยมีการคาดการณ์ว่า ราคาค่าบริการที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเพิ่ม จะสูงขึ้นจาก 2.07% ในระดับของการแข่งขันหลังควบรวม และจะทะยานถึง 244.5% และทำให้ผู้บริโภคขาดทางเลือกในการใช้บริการ กระทบต่อสิทธิ เสรีภาพของพลเมืองในยุคดิจิทัล รวมถึงความมั่นคงในการบริการโครงข่ายสาธารณะเพราะการมีผู้ประกอบการน้อยรายย่อมเสี่ยงมากกว่าการมีผู้ประกอบการมากรายในนาม สภาองค์กรของผู้บริโภค
ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ กสทช.ยึดมั่นต่อหน้าที่ที่มีต่อประชาชนในการ รักษาผลประโยชน์สูงสุด ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 60 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ด้วยการไม่อนุญาตให้เกิดการควบรวม ซึ่งหากวิเคราะห์ตาม มาตรา 21 ในพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ปี 2549 จะพบว่า ได้มีการแสดงเจตนารมณ์ทางกฎหมาย อย่างชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้มีการผูกขาด หรือลดการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคมในธุรกิจประเภทเดียวกัน