วันศุกร์, กรกฎาคม 5, 2024
หน้าแรกNEWS‘พท.’ จวกรัฐให้ต่างชาติซื้อที่ดินแลกลงทุน ถามขายชาติหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘พท.’ จวกรัฐให้ต่างชาติซื้อที่ดินแลกลงทุน ถามขายชาติหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ

เพื่อไทย” จวกนายกฯตู่ ถามลั่นขายชาติหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดคนรุ่นใหม่หมดโอกาสเป็นเจ้าของที่ดินในบ้านเกิด-คนไร้บ้านพุ่งชี้ผู้นำขาดความรู้จะพากันลงเหว

เมื่อวันที่ 1 พ.ย. คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เปิดแถลงข่าวประจำสัปดาห์ ประกอบด้วยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย นายเอกชัย ทรงอำนาจเจริญ ส.ส.อุบลราชธานี และน.ส.จุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม. เขตบางรัก ในฐานะโฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย

นายพิชัยกล่าวว่าความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับการยอมรับและตอกย้ำอีกครั้งจากการกระทำของพล.อ.ประยุทธ์ที่อนุญาตให้ต่างชาติซื้อที่ดินได้ง่าย โดยอ้างว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ที่ดินราคาเพิ่มขึ้นสูง และคนไทยส่วนใหญ่ประมาณ 80% ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองจะเดือดร้อน จะไม่มีปัญญาซื้อที่ดินเป็นของตัวเองได้ ทำให้ถูกโจมตีทั้งโซเชียลอย่างหนักว่าเป็นการขายชาติ ทำให้คนส่วนใหญ่สงสัยกันว่าน่าจะเป็นการขายชาติมากกว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่

นอกจากนี้การที่รัฐบาลอ้างว่าผลการบริหารงานทำให้คนจนและคนว่างงานลดลง ซึ่งย้อนแย้งกับปริมาณบัตรคนจนที่แจกมากขึ้นถึง 23 ล้านใบ อีกทั้งหลักการการนับปริมาณคนว่างงานของไทยยังไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง เพราะคนว่างงานของไทยมากกว่าตัวเลขที่รายงานมาก แถมยังมีการว่างงานแฝงในภาคเกษตรกรรมอีกเป็นจำนวนมาก

แต่เรื่องที่น่าจะเป็นปัญหาและผู้นำขาดความรู้ความเข้าใจคือเรื่องพลังงาน ที่เป็นปัญหามาตลอด โดยเฉพาะในช่วงหลังที่ราคาพลังงานมีราคาแพงขึ้นมาก ทำให้เห็นความผิดพลาดในการบริหารจัดการเพิ่มมากขึ้น ทั้งราคาน้ำมันที่มีราคาเพิ่มขึ้นมาก ราคาก๊าซหุงต้มที่พุ่งสูง และ ราคาไฟฟ้าที่มหาโหด โดยเฉพาะราคาไฟฟ้าที่พุ่งขึ้นมากถึงหน่วยละ 4.72 บาท และยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่ออีก สาเหตุมากจากการบริหารเชื้อเพลิงที่ผิดพลาด อีกส่วนหนึ่งมาจากให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าที่เกินกว่าความจำเป็นมาก ทำให้มีปริมาณการผลิตไฟฟ้าสูงกว่า 50% ทำให้ต้องจ่ายค่าความพร้อมสำหรับโรงงานไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแต่ไม่ได้จ่ายไฟฟ้าเป็นจำนวนที่สูงเดือนละหลายพันล้านบาท

แต่ล่าสุดทั้งๆที่มีปริมาณการผลิตที่เกิน แต่พล.อ.ประยุทธ์ยังจะออกใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 5,203 เมกกะวัตต์ ยิ่งทำให้การผลิตไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตล้นอยู่แล้ว ล้นเพิ่มขึ้นอีก ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นการผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดและลมซึ่งเป็นอนาคต แต่คำถามยังคงมีว่าได้ลดการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลลดลงไหม ซึ่งไม่เห็นมี การผลิตไฟฟ้าเพิ่มโดยไม่ลดส่วนอื่นลง ยิ่งทำให้การผลิตไฟฟ้าล้นเกินและจะมาเพิ่มค่าความพร้อมให้มากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงอยากให้พิจารณาให้ดี อย่าดำเนินการโดยไม่ได้ศึกษาหรือต้องการแค่จะเอาใจนายทุนเท่านั้น เพราะจากข้อมูลที่ได้รับ มีการล็อกสเปกให้กับผู้ประกอบการบางกลุ่มไว้แล้ว โดยมีผู้ประกอบการหลายรายไม่สามารถจะเข้าร่วมโครงการนี้ได้

นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งในวงการพลังงานในระดับสูงแทบทุกระดับ ตามที่จะมีข่าวการเปลี่ยนประธานบอร์ดบมจ.ปตท. ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่ได้ลาออก และจะลามไปเป็นการเปลี่ยน CEO ของบมจ.ปตท.ด้วย รวมถึงการจะเปลี่ยนปลัดกระทรวงพลังงาน ทั้งนี้เพราะไม่ตามใจผู้มีอำนาจ หรือต้องการเอาใจนายทุนผู้มีอิทธิพลเท่านั้น หากเป็นจริงความเสียหายทางด้านพลังงานจะมีปัญหามากยิ่งขึ้น และหากเป็นจริงนี่ก็เป็นการขายชาติทางด้านพลังงานอีกรูปแบบหนึ่ง และไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างไร

ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและเศรษฐกิจไทยยังย่ำแย่ ผู้นำจะต้องมีความรู้ความสามารถและต้องมีกรอบคิดในภาพใหญ่ เพียงพอที่จะนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากปัญหาได้ แต่ที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้แสดงให้ประชาชนได้รับรู้เลย คิดได้แค่จะขายที่ดินให้ต่างชาติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กลายเป็นถูกโจมตีว่าขายชาติ ซึ่งทำให้ไม่มีใครเชื่อได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและนำพาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปได้

ทางด้าน นายกฤษฎากล่าวว่า การที่รัฐบาลออกนโยบายขายทรัพย์สินของชาติ ให้คนต่างประเทศนั้น หากประเทศมีสภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและคนในประเทศมีกำลังซื้อที่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านและต่างประเทศได้ นโยบายนี้อาจจะเป็นประโยชน์เพราะน่าจะเป็นการดึงเอาคนเก่งและนักลงทุน เข้ามาในประเทศ และต่อยอดให้เศรษฐกิจในภาครวม แต่วันนี้เรายังเป็นรองประเทศเพื่อนบ้านมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เม็ดเงินการลงทุน รวมไปถึงความพร้อมของคนในชาติ เกรงว่านโยบายนี้จะยิ่งทำให้เกิดความเลื่อมล้ำของคนในชาติ และยิ่งจะทำให้ต่างชาติเข้ามาตักตวงผลประโยชน์

วันนี้หากรัฐบาลต้องการจะขับเคลื่อนนโยบายนี้จริง ยิ่งควรจะต้องปูพื้นฐานให้คนในชาติ โดยเฉพาะรายได้ต่อหัว ควรจะต้องสูงกว่านี้ก่อน แต่ปัจจุบันเป็นเพราะรัฐบาลน่าจะหมดหนทางในการหารายได้และดึงดูดนักลงทุน จึงใช้วิธีการขายทรัพย์สินแทน เพราะเป็นวิธีที่ง่าย ในการเพิ่มเงินลงทุนในประเทศแต่ ในระยะยาวน่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะสุดท้าย จะทำให้ที่ดินและทรัพย์สินแพงขึ้น จนคนไทยที่มีรายได้น้อยจะไม่สามารถเป็นเจ้าของได้

สิ่งเหล่านี้เป็นการตอกย้ำว่า รัฐบาลลงทุนผิดพลาด โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน วันนี้หากในสมัยนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ขับเคลื่อนนโยบาย 2 ล้านๆ เสร็จตั้งแต่ปี 63 คงจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาแล้ว บทเรียนที่สำคัญก็คือประเทศลาว มีเม็ดเงินจำนวนมากจากหลายประเทศ มุ่งเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะหัวเมืองที่มีสถานีรถไฟความเร็วสูง เช่น บ่อเตน หลวงพระบาง วังเวียง จนถึงเวียงจันทน์ วันนี้เราช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายก้าว หากจะยังดำเนินนโยบายล่าช้า และไม่ทันโลกแบบนี้อยู่ก็เป็นไปได้ว่าสุดท้ายต้องกู้เพิ่มแน่นอน

ขณะที่ นายเอกชัยกล่าวว่าที่ผ่านมาจ.อุบลราชธานี และภาคอีสานหลายพื้นที่ประสบวิกฤติน้ำท่วม น้ำท่วมครั้งนี้ระดับน้ำในอุบลราชธานีสูงที่สุดในรอบ 44 ปี ท่วมหนักกว่าปี 62 ท่วมหนักกว่าปี 54 และยังท่วมยาวนานอีกด้วย แม้กระทั่งขณะนี้ถนนหลายสาย ในอุบลราชธานียังจมน้ำอยู่ บ้านหลายหลังยังมีน้ำท่วมขัง พื้นที่เกษตรหลายพื้นที่เสียหายจากน้ำท่วม ผลผลิตทางการเกษตรสูญสิ้น พี่น้องเกษตรกรที่ประสปภัยน้ำท่วม ควรได้รับการช่วยเหลือยเยียวยา มากกว่าเกษตรกรที่ไม่ได้ประสบปัญหาน้ำท่วม ไม่ควรตัดสิทธิในการได้รับเงินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ไร่ละ 1,000 บาท และ สิทธิในการได้รับเงินส่วนต่างประกันรายได้ ซึ่งถ้าตัดสิทธิ์ในการได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว และเงินส่วนต่างประกันรายได้ของเกษตรกรผู้ถูกน้ำท่วม เชื่อว่าชาวนาหลายราย คงไม่ได้แจ้งให้ทางรัฐบาลทราบ เพราะเกรงจะได้เงินช่วยเหลือ น้อยกว่าเดิม

รัฐบาลควรปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาค โครงสร้างพื้นฐานที่ดีจะดึงดูดการลงทุน ยังมีอีกหลายวิธีที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และดึงดูดการลงทุน นอกเหนือจากการขายที่ดินให้ต่างชาติ ที่ผ่านมารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เช่น เน้นแก้ปัญหาด้วยการแจกเงินผ่านโครงการต่างๆ แต่ผลที่ได้กลับไม่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต ตรงข้ามหนี้สินครัวเรือนกลับสูงขึ้นมากที่สุดในประวัตรศาสตร์ รายได้ประชาขนลดลงเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ รายได้ไม่พอรายจ่าย เงินส่วนใหญ่ที่หามาได้ หมดไปกับการอุปโภคบริโภค ประชาชนไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินลงทุน ปัญหายิ่งหนักไปกว่าเดิม รัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คัน 8 ปีที่ผ่านมาจึงไม่สามารถ เพิ่้มรายได้ เพิ่มผลผลิต ให้กับพี่น้องประชาชนได้ มีแต่เพิ่มรายจ่ายของแพงค่าครองชีพสูง นอกจากนี้รัฐบาลมักจะอ้างว่าปัญหาวันนี้ มาจากการติดกระดุมผิดเม็ดของรัฐบาลก่อนหน้าจึงต้องอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป

ดังนั้น ความแข็งแกร่งของนายกฯ ไม่ได้่ทำให้แค่เสียเพื่อน เสียมิตร แต่ยังทำให้ประเทศไทยเสียโอกาศอีกด้วย ท่านน่าจะเป็นนายกคนแรกของไทย ที่ทำให้เศรษฐกิจไทย โตต่ำที่สุดในภุมิภาคมาตลอด

ส่วน น.ส.จุฑาพรกล่าวว่ามติครม. ล่าสุดที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินในประเทศไทยได้ในจำนวนไม่เกิน 1 ไร่ หากลงทุนตั้งแต่ 40 ล้านบาทขึ้นไป และต้องคงการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปีในธุรกิจ สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะกฎหมายนี้จะส่งผลกระทบต่อชีวิต ความเป็นอยู่ ประชาชนในหลายมิติ ปัจจุบันในหลายพื้นที่มีชาวต่างชาติซื้อที่ดินในไทยแล้ว แต่ใช้คนไทยเป็นนอมินีใส่ชื่อแทนไว้ หากร่างกฎหมายนี้นำมาบังคับใช้ ราคาอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อย และคนรุ่นใหม่ที่พยายามสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่สามารถมีบ้านและที่ดินเป็นของตนเองได้

อนาคตคนไทยต้องเช่าที่บนแผ่นดินเกิดตัวเองจากชาวต่างชาติ ทุกวันนี้ประชาชนลำบากมากอยู่แล้ว กว่า 80% ยังไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง และจำนวนคนไร้บ้านจะเพิ่มสูงขึ้นอี ในปัจจุบันคนไร้บ้านมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ในพื้นที่กลางเมืองหลวง อย่างเขตบางรัก พบเห็นคนนอนตามฟุตบาท มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก พ่อค้า แม่ค้าร้องเรียนกระทบภาพลักษณ์ประเทศไทย เวลานักท่องเที่ยวสัญจรทางเท้า

“รัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนสนใจมาลงทุนในไทย เร่งการจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว อย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้นำเข้ามากอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ หากเพื่อไทยได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน จะแก้กฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินในประเทศไทย ลูกหลานไทยเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแผ่นดินเกิด ที่รอเวลาถูกยืดครองโดยชาวต่างชาติ รัฐบาลที่ดีจะมีนโยบายที่สร้างรายได้ให้ประชาชนให้เพิ่มขึ้น ประชาชนจะได้มีเงินมาซื้อที่ดินเป็นของตัวเอง และทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของที่ดินง่ายขึ้น มากกว่าจะคิดขายที่ดินให้กับต่างชาติในขณะที่คนส่วนมากยังไม่มีที่ดินของตัวเอง” น.ส.จุฑาพร กล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img