ศบศ.ไฟเขียวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพิ่มกำลังซื้อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 500 บาท/คน ระยะเวลา 3 เดือน คน ตั้งแต่เดือนต.ค.-ธ.ค. 2563 มีผู้ถือสิทธิจำนวน 14 ล้านคนและ“โครงการคนละครึ่ง” เน้นช่วยเหลือประชาชนในระดับฐานราก
เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 63 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ น.ส.กาญจนา ตั้งปกรณ์ ผอ.สำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ร่วมกันแถลงผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า ที่ประชุมฯ ได้มติรับทราบความคืบหน้ามาตรการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา บรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงแนวทางการเปิดรับนักธุรกิจจากต่างประเทศ โดยมอบหมายให้ ศบค. ปรับปรุงแนวทาง เงื่อนไข สำหรับกลุ่มนักธุรกิจและกลุ่มวิศวกรที่มีฐานการผลิตอยู่ที่ประเทศไทย ที่จะขอเดินทางเข้ามาเพื่อปรับปรุงโรงงาน สายพานการผลิต ให้มีความสะดวกและมากขึ้น
ที่ประชุมฯ ยังมีมติรับทราบแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) ตามที่ คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการแล้วเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยจะมีการเร่งรัด มาตรการเสริมต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและให้ประชาชนได้รับผลโยชน์สูงสุด ภายใต้การดำเนินการอย่างรัดกุมรอบคอบด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบหลักการมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศและเพิ่มกำลังซื้อให้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและประชาชนทั่วไป ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง โดยแบ่งเป็น 2 โครงการ ได้แก่ “โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” โดยเพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อการอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จำนวน 500 บาท/คน ระยะเวลา 3 เดือน คน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2563 มีผู้ถือสิทธิจำนวน 14 ล้าน และ “โครงการคนละครึ่ง” โดยภาครัฐจะร่วมจ่าย (Co-pay) เน้นช่วยเหลือประชาชนในระดับฐานราก ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีกลุ่มเป้าหมายจำนวน 10 ล้านคน โดยจะเปิดลงทะเบียนช่วงกลางเดือนตุลาคม ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้จ่ายตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ไม่เกินคนละ 3,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย หาบเร่ แผงลอย ที่ไม่ใช่นิติบุคคลหรือร้านสะดวกซื้อธุรกิจแฟรนไชส์
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการข้อเสนอการปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร (Permanent Resident Permit) และแนวทางการปรับปรุงมาตรการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็น กรณีพิเศษ (Smart Visa) เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน ผู้บริหาร และผู้ประกอบการวิสาหกิจ โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย พิจารณาจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมแก้ไขปรับปรุง Smart Visa ให้เชื่อมโยงกับการลงทุน
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบข้อเสนอแนะการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา (Credit term) ในประเทศไทย เพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม SMEs ที่เป็นผู้จัดส่งสินค้าและวัตถุดิบการผลิต (Supplier) แก่ธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า กำหนดมาตรฐานระยะเวลา Credit term ที่เหมาะสมช่วงระยะเวลา 30 – 45 วัน ตามประเภทธุรกิจ โดยให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย พร้อมกำหนดบทลงโทษ กรณียกเว้น และกลไกการติดตามตรวจสอบด้วย ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ได้ชี้แจ้งว่า บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ก็กำหนด Credit term ในระยะเวลา 30 วัน ด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเผยว่า จะได้มีการเร่งรัดนำผลการประชุมวันนี้ เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้ทันภายในสัปดาห์หน้า เพื่อให้การดูแลพี่น้องประชาชนได้รวดเร็วต่อไป