คลังเผยผู้ผ่านเกณฑ์ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ เตรียมตัวให้พร้อม 1 เมษายน 2566 เป็นวันแรกของการใช้สิทธิฯ เปิดสายด่วนให้ประชาชนสอบถามกรณีมีข้อสงสัยโทร. 02-109- 2345 ขณะที่กรมบัญชีกลางเตือน! ผู้ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อย่าหลงเชื่อการเชิญชวนให้ยกเลิกบัตรเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะเสียสิทธิ
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าตั้งแต่วันเสาร์ ที่ 1 เมษายน 2566 เป็นต้นไป ผู้ผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 (โครงการฯ) ที่ยืนยันตัวตนสำเร็จภายในวันที่ 26 มีนาคม 2566 (ผู้มีสิทธิฯ) ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 12,565,862 ราย สามารถใช้สิทธิสวัสดิการผ่านบัตรประจำตัวประชาชน ดังนี้
1.วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้าฯ) และร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด จำนวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่เวลา 05.00 – 23.00 น.
2.วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด จำนวน 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน
ตั้งแต่เวลา 05.00 – 23.00 น.
3.วงเงินรวมค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ จำนวน 750 บาทต่อคนต่อเดือน โดยสามารถใช้โดยสารได้กับระบบขนส่ง 8 ประเภท ได้แก่ (1) รถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) (2) รถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)
(3) รถไฟฟ้า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (Bangkok Mass Transit System : BTS) รถไฟฟ้ามหานคร (Metropolitan Rapid Transit : MRT) และบริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด (4) รถไฟ โดยไม่จำกัดวงเงินตามประเภทรถ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเตรียมการเพิ่มเติมประเภทระบบขนส่งเพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิฯ ได้แก่ (1) รถเอกชนร่วม ขสมก. รถเอกชน และส่วนราชการกรุงเทพมหานคร (2) รถเอกชนร่วม บขส. และรถเอกชน (3) รถสองแถวรับจ้าง และ (4) เรือโดยสารสาธารณะโดยหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะแจ้งความคืบหน้าให้ประชาชนทราบต่อไป
4.มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า อุดหนุนค่าไฟฟ้าจำนวน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้ไฟฟ้าเกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีสิทธิฯ จะเป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด
5.มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา อุดหนุนค่าน้ำประปาจำนวน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้น้ำ ประปาเกิน 100 บาท แต่ไม่เกิน 315 บาท ผู้มีสิทธิฯ ยังคงได้รับการสนับสนุนในวงเงิน 100 บาท และจะต้องชำระส่วนที่เกิน 100 บาท ด้วยตนเอง แต่หากผู้มีสิทธิฯ มีการใช้น้ำประปาเกิน 315 บาท ผู้มีสิทธิฯ จะเป็นผู้รับภาระค่าน้ำประปาทั้งหมด
สำหรับมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา ผู้มีสิทธิฯ ที่ประสงค์รับสิทธิในมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาจะต้องดำเนินการลงทะเบียนผ่านผู้ให้บริการดังกล่าวก่อนการเริ่มใช้สิทธิตามกรอบเวลาที่ผู้ให้บริการกำหนด ซึ่งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะชำระค่าบริการที่ผู้มีสิทธิฯ ได้ใช้บริการตามเงื่อนไขที่กำหนดให้แก่หน่วยงานผู้ให้บริการทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ สำนักงานการไฟฟ้านครหลวง สำนักงานการไฟฟ้า
ส่วนภูมิภาค กิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ สำนักงานการประปานครหลวง และสำนักงานการประปาภูมิภาค โดยผู้มีสิทธิฯ ไม่ต้องสำรองเงินจ่ายค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาก่อน
อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นครั้งแรกของประชาชนที่จะมีการใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐผ่านบัตรประจำตัวประชาชนในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ก๊าซหุงต้ม และค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ ประกอบกับเป็นวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางได้เปิดให้บริการศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Call Center) ในช่วงวันที่ 1 – 2 เมษายน 2566 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน กรณีผู้มีสิทธิฯ มีข้อสงสัยสามารถติดต่อ Call Center โทร. 02 109 2345
สำหรับผู้ประกอบการร้านธงฟ้าฯ และร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ขอให้เตรียมความพร้อมของอุปกรณ์เครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) และปรับปรุงแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ให้เป็นรุ่น (version) ปัจจุบันเพื่อรองรับการชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิฯ โดยสามารถดำเนินการได้ ดังนี้
1.ร้านค้าที่รับชำระค่าสินค้าและบริการ ผ่านเครื่อง EDC สามารถปรับปรุงระบบให้เป็น version ปัจจุบัน
ได้ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป
2.ร้านค้าที่รับชำระค่าสินค้าและบริการ ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” สามารถปรับปรุงระบบให้เป็น version ปัจจุบันได้ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2566 เวลา 21.00 น. เป็นต้นไป
ทั้งนี้หากร้านธงฟ้าฯ และร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด พบปัญหาในการปรับปรุงระบบให้เป็น version ปัจจุบัน หรือมีข้อสงสัยต้องการสอบถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อศูนย์บริการข้อมูลแก้ไขปัญหาร้านค้า (Merchant Call Center) โทร 02 111 1111 กด 2 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับผู้ที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติตามโครงการฯ ที่ดำเนินการยืนยันตัวตนแล้ว โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 เวลา 13.00 น. พบว่ามีผู้ผ่านเกณฑ์ที่ยืนยันตัวตนสำเร็จจำนวนทั้งสิ้น 12,830,846 ราย (ร้อยละ 87.90 ของจำนวนผู้ผ่านเกณฑ์ทั้งหมดจำนวน 14,596,820 ราย) และจำนวนผู้ยื่นอุทธรณ์ผลการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติตามโครงการฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 เวลา 13.00 น. มีจำนวนทั้งสิ้น 1,209,231 ราย
สำหรับผู้ผ่านเกณฑ์ที่ไม่ได้ดำเนินการยืนยันตัวตนภายในวันที่ 26 มีนาคม 2566 ยังคงสามารถยืนยันตัวตนได้
ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้ตามวันเวลาที่หน่วยงานกำหนด และสามารถเริ่มใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐได้ตามวันที่กระทรวงการคลังกำหนด
ซึ่งในการยืนยันตัวตนผู้ผ่านเกณฑ์จะต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์ (Smart Card) และ
ต้องผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนกับธนาคารใดก็ได้ เนื่องจากการผูกบัญชีพร้อมเพย์ไว้ล่วงหน้าจะทำให้ผู้ได้รับสิทธิโครงการฯ สะดวกในการรับสิทธิสวัสดิการ หากภาครัฐมีการให้สวัสดิการเป็นเงินโอนเข้าบัญชีในอนาคต
ทั้งนี้ ผู้ผ่านเกณฑ์ที่ยืนยันตัวตนไม่สำเร็จ เนื่องจากการตรวจสอบสถานะบัตรประจำตัวประชาชนไม่ผ่าน
ซึ่งในกรณีนี้ขอให้ผู้ที่ยืนยันตัวตนไม่สำเร็จตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลได้ ณ ที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร และหากตรวจสอบและแก้ไขสถานะบัตรประจำตัวประชาชนแล้ว ให้ดำเนินการยืนยันตัวตนอีกครั้ง นอกจากนี้ การยืนยันตัวตนไม่สำเร็จอาจเกิดจากกรณีเปรียบเทียบใบหน้าไม่ผ่าน
ซึ่งผู้ที่ยืนยันตัวตนไม่สำเร็จกรณีเปรียบเทียบใบหน้าไม่ผ่านขอให้ติดต่อธนาคารกรุงไทยเพื่อดำเนินการยืนยันตัวตนตามขั้นตอนของธนาคารกรุงไทยต่อไป โดยประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายละเอียดโครงการฯ เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th
นางสาววารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้รับแจ้งว่าขณะนี้มีผู้แอบอ้างและเชิญชวนให้ประชาชนที่ได้รับสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 มายกเลิกสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐที่กรมบัญชีกลางหรือสำนักงานคลังจังหวัด และผู้แอบอ้างจะโอนเงินให้ผู้มีสิทธิเพื่อเป็นการตอบแทนด้วยจำนวนเงินต่าง ๆ ตามที่ผู้แอบอ้างเชิญชวน
อย่างไรก็ตาม ขอประชาชนผู้มีสิทธิอย่าหลงเชื่อและขอให้ตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องก่อนการตัดสินใจยกเลิกสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่ Call Center บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หมายเลข 0 2109 2345 หรือ Call Center กรมบัญชีกลาง 0 2270 6400 หากผู้มีสิทธิทำการยกเลิกสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว จะไม่สามารถขอคืนสิทธิได้