4 หัวหน้า ‘พรรคส้ม’ ร่วมกิจกรรม ‘ขอโทษจากใจ ขอไปต่อด้วยกัน’ “ชัยธวัช” ยอมรับเป็นบทเรียนหลายเรื่อง นอกจากเรื่องการตัดสินใจทางการเมืองของพรรคประชาชนในอนาคต ที่จะทำอย่างไรไม่ผิดพลาด
วันที่ 13 ธ.ค.68 พรรคประชาชน จัดกิจกรรม ”ปิกนิก พรรคประชาชนพบประชาชน ขอโทษจากใจ ขอไปต่อด้วยกัน” ณ สนามหญ้า มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร โดยมี นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน , นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตพรรคอนาคตใหม่ , นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีด้วย
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ขอบคุณที่ทุกคนมาเป็นแรงใจช่วยสนับสนุนกัน ขอส่งคำขอโทษถึงทุกคน ไม่ว่าแต่ละคนจะมีความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเป็นความรู้สึกผิดหวังในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ หรือความรู้สึกอื่นๆ ในการตัดสินใจของพรรคที่เราเดินทางมาร่วมกัน ไม่ว่าจะเกิดจากความรู้สึกใดก็ตาม ตนเองในฐานะหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นความรับผิดชอบของตนเอง เป็นความรับผิดชอบของผู้นำพรรคคนปัจจุบัน
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนเองไม่อยากให้ตกอยู่ในบรรยากาศโศกเศร้า ตั้งใจจะส่งคำขอโทษถึงทุกคน แต่อยากชวนทุกคนมาพูดคุยแลกเปลี่ยน เพราะไม่นานจะมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งช่วงต้นเดือน ก.พ.69 แม้รัฐบาลจะไม่ให้ความชัดเจน มีสถานการณ์บางอย่างที่ยังไม่ได้เคาะวันเลือกตั้ง แต่เหลือเวลาอีกไม่นานที่พวกเราจะต้องชี้ชะตาตัดสินอนาคตของประเทศ จึงหวังว่าเวทีวันนี้ จะเป็นการพูดคุยกันแบบเปิดอก เปิดให้สมาชิกพรรคทุกคน รวมถึงประชาชนทุกคนที่เป็นเจ้าของประเทศตัวจริง มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างเปิดกว้าง
วันนี้เป็นเวทีแรกที่มีหัวหน้าพรรคและอดีตหัวหน้าพรรค 4 คนอยู่ในเวทีเดียวกัน เพราะฉะนั้น ทุกคำถามมีคำตอบ รวมถึงการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า จะทำอย่างไรให้พรรคประชาชนโดยเสียงของประชาชนมีความเข้มแข็งพอที่จะเปลี่ยนอนาคตของประเทศได้จริง
จากนั้นได้เปิดเวทีให้ สส.พรรคประชาชน อาทิ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร , นายรังสิมันต์ โรม , นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล , นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาชน ร่วมตอบคำถามประชาชน
ช่วงหนึ่งที่เปิดให้ประชาชนได้ตั้งถามคำถาม ว่า อยากให้พรรคประชาชนชนะ 300 เสียง เป็นรัฐบาลพรรคเดียว และให้นายณัฐพงศ์เป็นนายกรัฐมนตรี และไม่เห็นด้วยกับการเลือกพรรคภูมิใจไทย แต่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านทำอยู่ ตอนนี้มีเสียงเย้ยหยันว่า เราโง่ซ้ำซาก เราถูกหลอก แต่ตนเองอยากให้กำลังใจ เราจะเป็นหมาหางด้วนเหมือนเขาหรือไม่
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า เชื่อว่าการตัดสินใจที่ผ่านมา การตัดสินใจได้มีการสอบถามสมาชิกพรรค ผ่านกระบวนการที่เปิดกว้าง เราทำดีที่สุด สอบถามสมาชิกผู้เป็นเจ้าของพรรคอย่างรอบด้าน หากมองไปข้างหน้า คือจะทำพรรคมวลชนที่ซื่อตรงกับประชาชนตรงไปตรงมา มีดีลอะไรเอามาเซ็นในเอ็มโอเอ กลางบนโต๊ะให้ประชาชนทุกคนเห็น การทำตรงไปตรงมา แล้วถูกฉีกเอ็มโอเอ เสียงสะท้อนบอกว่า ตกลงแล้วพรรคนี้ เป็นเด็กน้อยโดนเค้าหลอกอีกหรือไม่ ตนเองไม่เชื่อในการเมืองแบบนั้น เพราะถ้าเราบอกว่า เราจะดีลแบบลับๆ มีอะไรจะได้รู้สึกว่าไม่โดนหักหลัง คุยกันหลังบ้านแบบนั้น คงไม่ใช่ตัวตนของเรา ที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยนายธนาธร , นายพิธา , นายชัยธวัช สิ่งสำคัญเรามีการประเมินสถานการณ์ รู้ว่ามีความเสี่ยงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่คำตอบคือเราจะป้องกันตัวเองอย่างไรในอนาคต ไม่ให้ถูกหักหลังแบบนี้อีก สำหรับตนเองมีทางเลือกเดียว ในระบบการเมืองไทยที่มีอยู่ ไม่มีทางอื่น นอกจากเอาพลังของเราอิงกับเสียงของประชาชนเท่านั้น
นายณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า ตนเชื่อมั่นในตัวทีมงานในตัวของพวกเรา โจทย์การเลือกตั้ง นอกจากจะมาแลกเปลี่ยนความรู้สึก อีกหนึ่งอย่างคือเรามีเรื่องอีกเยอะว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะทำอย่างไรให้เราสามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียวให้ได้
นายรังสิมันต์ กล่าวว่ส ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน ว่าจะมีการยุบสภา ยอมรับสปิริต ไม่อยากให้เรื่องรัฐธรรมนูญจบลงแค่นี้ อยากให้ใช้เวลาจนสุดท้ายของสภาชุดนี้ ยืนยันว่าพรรคประชาชนทำดีที่สุดแล้ว พูดคุยกับทุกฝ่ายแล้ว งานการเมือง ไม่ว่าเราจะชอบใครหรือไม่ชอบใคร แต่ถ้าเค้ามีเสียงเราก็ต้องพูดคุย แต่เมื่อพยายามทำอย่างเต็มที่ ณ จุดนี้ ต้องนำไปสู่การเลือกตั้งหรือหาทางออกให้ได้ ขอโทษพี่น้องทุกคนที่เราจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เราตั้งความหวังไว้
นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล อดีต ประธานวิปฝ่ายค้าน บอกว่าตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง อยากมาส่งคำขอโทษถึงทุกคน ไม่ว่าแต่ละคนจะรู้สึกอย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะรู้สึกผิดหวังต่อกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญ เรื่องความรู้สึกอื่นๆ ในการตัดสินใจที่เกิดขึ้นของพรรค ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกใดก็ตาม ในฐานะผู้นำของพรรคในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้แน่นอนว่าเป็นความรับผิดชอบของตน ของผู้นำพรรค ในยุคปัจจุบัน ไม่อยากให้ทุกคนตกอยู่ในโศกเศร้า วันนี้ตั้งใจจะมาส่งคำขอโทษทุกคน
ขณะที่นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เด็กน้อยถูกเค้าหลอกอีกหรือไม่ จึงนำขึ้นมาตกลงว่า สิ่งที่สำคัญตอนนั้น เรารู้เราประเมินความเสี่ยง ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่ถามว่าเราจะเรียกว่าป้องกันตัวเองอย่างไรในอนาคต ไม่ให้เราถูกหักหลังแบบนี้อีก สำหรับตน เหลือทางเลือกเดียวด้วยระบบการเมืองไทย คนบางคนที่ฉุดรั้งของประเทศเรา ต้องเอาพลังของเราอิงกับเสียงประชาชนเท่านั้นๆ สิ่งที่เราจะต้องมาคุยกันคือ ทำอย่างไรจะให้เป็นรัฐบาลพรรคเดียวให้ได้
ด้านนายชัยธวัช ตุลาธน กล่าวว่า ไม่รู้จะตอบยังไง อาจจะไม่ได้พูดเรื่อหมาหางด้วน แต่ว่าบทเรียนมีหลายเรื่อง นอกจากเรื่องการตัดสินใจทางการเมืองของพรรคประชาชนในอนาคต ที่จะทำอย่างไรไม่ผิดพลาด หรือทำให้ผู้สนับสนุนประชาชนที่ให้เสียงมา สูญเสียความไว้วางใจ ตนคงตอบแทนไม่ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา สะท้อนว่าตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ , พรรคก้าวไกล จนมาถึงพรรคประชาชน มีสิ่งหนึ่งที่ทำอยากให้เกิดขึ้นตั้งแต่หลังรัฐประหาร อยากให้สังคมไทยมีฉันทามติใหม่ ในทางการเมือง เราพูดถึงกฎกติกาที่พอจะยอมรับร่วมกันได้ในกติกาเดียวกันที่ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด แต่ตนคิดว่าสัญญาณที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธ.ค เป็นการส่งสัญญาณว่า มีพลังทางการเมือง พลังทางสังคม แบบของเดิม ที่ระแวงต่อการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ การที่ไม่ถอย แม้สักก้าวเดียว ต้องใช้ราคาแค่ไหนที่ต้องจ่ายร่วมกัน ไม่ใช่แค่เป็นบทเรียน แต่เป็นโจทย์ที่เกิดขึ้นในใจ
ด้านสมาชิกพรรคบอกว่า พรรคประชาชนไม่ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของประเทศไทย แต่ที่ผจญอยู่ทุกวันนี้ เกิดจากรัฐประหารบิดเบี้ยว และเหมือนกรงขัง พวกเราวิ่งชนกำแพงในแต่ละวัน คือไม่มีโอกาสที่จะให้พวกเราออกไปข้างนอก จากการรัฐประหาร ยึดอำนาจ ต่อยอดมาถึงพรรคเพื่อไทย พรรคอนุทิน พรรคเพื่อเทา พวกเราเจ็บปวดจากรัฐประหาร และยังมาถูกพรรคที่เราคิดว่าจะเป็นพันธมิตรหักหลัง ตนเป็นเสื้อแดงที่มาเชียร์พรรคส้ม เพราะคิดว่านี่คือทางรอดเดียวของสังคมไทย ขอฝากความหวังไว้กับพรรคส้มพรรคประชาชน
พร้อมถามว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทยใช้ข้ออ้างในการเลี้ยงไข้สงครามกับกัมพูชา แล้วไม่ให้มีการเลือกตั้ง พรรคประชาขนจะแก้เกมอย่างไร และถ้าพรรคประชาชนชนะเลือกตั้งได้ 250 เสียงขึ้นไปแล้วเป็นรัฐบาล ถามประชาชนคนไทยว่าจะยอมหรือไม่ และถ้าอยากจะเปลี่ยน ต้องไม่เป็นทาส ต้องลุกขึ้นสู้เป็นไทย นอกจากนี้ สมาชิกยังมีการถามว่า ระหว่างพรรคแดงกับพรรคน้ำเงิน การเลือกตั้งครั้งหน้าจะจับมือกับใคร
แกนนำพรรค ตอบว่า ขอให้ชนะเกิน 250 เพื่อที่จะไม่ต้องไปต่อรองกับใคร ขณะที่นายรังสิมันต์ ระบุว่า สถานการณ์สู้รบชายแดนจะไม่ยืดเยื้อ จนทำให้ไม่สามารถเลือกตั้งได้ สถานการณ์ที่ความขัดแย้ง มันไม่ควรจะเป็นเรื่องที่เอาไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของใครเลย เรื่องนี้ต้องว่ากันตามสถานการณ์
นายรังสิมันต์ กล่าวว่ส ในแนวรบที่มีการปะทะกันตามแนวชายแดน จำเป็นต้องปกป้องประชาชนปกป้องอธิปไตย แต่ในทางการทูต รัฐบาลก็ต้องใช้ทุกทรัพยากรทุกโอกาสในการทำให้ประเทศไทย มีเพื่อนมากที่สุด และโดดเดี่ยวฝ่ายตรงข้ามให้ได้ ในเรื่องสแกรมเมอร์ ก็ต้องดำเนินการตัดท่อน้ำเลี้ยง นี่คือสิ่งที่เราอยากเห็น หลายคนก็เป็นห่วง หลายคนถ้าคุยนอกรอบ ถ้ายืดเยื้อจะกระทบเลือกตั้งหรือไม่ ถ้ามันมีความขัดแย้งในระดับนั้น นั่นหมายความว่าพี่น้องของเราตามแนวชายแดนอาจจะต้องอยู่ศูนย์อพยพแรมเดือน เชื่อว่าผู้ปฏิบัติที่แนวหน้า ไม่น่าจะเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร ตนมองว่าใครก็ตามที่ต้องการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เชื่อว่าประชาชนชาวไทยไม่มีใครยอม
ช่วงหนึ่งมีการแลกเปลี่ยนความเห็น น.ส.พัชณีย์ คำหนัก นักเคลื่อนไหวสิทธิแรงงาน กลุ่มสังคมนิยมแรงงาน ตั้งคำถาม ถึงจุดยืนการยุติเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาของพรรค พร้อมกับกล่าวว่า การรับฟังขอโทษ วันนี้กลายเป็นว่ามาขอโทษที่ไม่สามารถผลักดันรัฐธรรมนูญได้ แทนที่จะขอโทษที่เลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะการเมืองที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก็มาจากพวกคุณ และเป็นปัจจัยส่วนหนึ่ง และในอนาคตที่คุณพยายามบอกว่า เราต้องการเป็นรัฐบาล ก็ไม่รู้ว่ามีเป้าหมายโหวตเตอร์ใครบ้าง มีฝ่ายชาตินิยมด้วยหรือไม่ จึงตั้งคำถามว่าเป้าหมายการหาคะแนนเสียงคือใคร
นายณัฐพงษ์ ตอบว่า สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ตนอยากตั้งคำถามว่า สิ่งที่ต้องการ คือต้องการวิถีชีวิตที่ปกติสุขเป็นตัวตั้ง ก็จะมีคำถามที่ตามมาอีกว่า อยู่ดีๆ หากมีคนท้าตีท้าต่อย ไม่เล่นตรงไปตรงมา ตามวิถีทางการทหารที่ควรจะเป็น เล่นนอกกติกา มาทำร้ายเรา สิ่งที่มีความชอบธรรมในการทำคืออะไร คือการป้องกันตนเอง ตนขอยืนยันอีกหนึ่งครั้งว่า เราไม่เคยมีใครที่ต้องการการใช้ความรุนแรง เราไม่ใช่ประเทศอันธพาล แต่หากมีคนมาทำร้ายเรา เราก็ต้องใช้กำลังในการป้องกันตนเอง ซึ่งถือเป็นหลักที่สำคัญ ที่ต้องยืนให้ตรงกันเสียก่อน แต่ในทางกลับกัน เหตุการณ์อพยพประชาชนตามแนวชายแดน ทำให้เกิดความเดือดร้อน ซึ่งต้องถามว่า แล้วจะจบตรงไหน หากเราไม่ใช้สรรพกำลังที่มีอยู่ในการป้องกันตนเอง หรือดำเนินการทางยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ประเทศฝั่งตรงข้ามไม่สามารถมาทำร้ายเราได้อีก ปัญหาก็จะเรื้อรังไปเรื่อยๆ การใช้กำลังจะต้องอยู่ภายใต้หลักกติกาสากล กฎการใช้กำลัง พุ่งเป้าไปที่ภัยคุกคามเฉพาะหน้า ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่กรอบไม่ควรจะเลยไปกว่าสิ่งที่เรามุ่งหมาย ที่จะไปรุกรานประเทศเขา พรรคประชาชนไม่เคยหนุนหลังในเรื่องการใช้กองทัพที่เกินเลยไปกว่าหลักการป้องกันตนเอง และยึดมั่นในสิ่งที่ต้องการให้ทุกคนมีสันติภาพ
ขณะที่นายพิธา กล่าวว่า ในอดีตที่เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้องตัดสินใจหลายครั้ง บางครั้งตัดสินใจถูก บางครั้งตัดสินใจผิด เป็นเรื่องธรรมดาในการเป็นผู้นำองค์กร แต่สิ่งที่ควรจะทำ คือการยอมรับในความผิดพลาด และเรียนรู้พยายามพัฒนาตนเองและองค์กรให้ดีขึ้น เราขอให้กำลังใจนายณัฐพงษ์ ว่า ไม่ได้อยู่คนเดียว ทุกคนมีโอกาสที่จะตัดสินใจได้ ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ขึ้นอยู่ว่าจะสามารถยอมรับแบบไม่มีอัตตา และอนุญาตให้ประชาชนได้มีโอกาสพูดถึงมัน แล้วนำมาปรับให้เป็นผู้นำที่ดีขึ้นได้อย่างไร และนำชัยชนะไปสู่พวกเราในอีก 2 ปี แล้วเราจะชนะได้เยอะขึ้นอีกอย่างแน่นอน
นายวิโรจน์ กล่าวว่าเรา ต้องการรบเพื่อยุติการรบ แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเรามั่นใจว่าภูมิประเทศสำคัญและขีดความสามารถของทางฝั่งตรงข้ามที่จะรุกรานประเทศไทยและทำลายพลเรือน จะต้องอยู่ในระดับที่เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หากสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งภูมิประเทศสำคัญ และแสนยานุภาพของฝั่งตรงข้าม การเจรจาจะเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่สมเหตุสมผล และสันติภาพจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่ต้องหวาดระแวงอย่างไม่จบไม่สิ้น ไม่เช่นนั้นความเป็นอยู่อย่างปกติจะเกิดขึ้นไม่ได้
นายปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 แก้ยากมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่สนับสนุนรัฐบาล ว่าทำอย่างไรจึงจะค่อยๆ เปลี่ยนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ได้ทีละนิด จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้เป็นนโยบายของตน
ตั้งแต่เข้าสภาสมัยแรก อนาคตใหม่มี 80 เสียง ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเองไม่ได้ เพราะเสียงไม่ครบ 100 เสียง เพิ่งมาถึงพรรคก้าวไกล เสียงเราเยอะมาก แต่จะเห็นว่าที่ผ่านมาไม่ได้สักฉบับ เคยแก้ได้แค่ระบบเลือกตั้ง
ดังนั้นจึงเป็นโอกาส เราชั่งน้ำหนักแล้วว่า ระหว่างการที่เราจะไม่สนใจอะไรเลย หรือรอคำถามประชามติ หรือเราจะรอลุ้นอีก เผื่อได้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และได้ทำประชามติ 2 คำถามพร้อมกัน เพื่อจะได้ไม่ต้องง้อ สว.อีก พร้อมกล่าวว่า ขอพูดตรงไปตรงมา การมาง้อเขาครั้งนี้ ครั้งเดียวให้ผ่านวาระ 3 ให้ได้ แต่สุดท้ายพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ เพราะอีกนิดเดียวจะถึงเส้นชัย
“รัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ยากมาก คิดว่าชีวิตนี้คงแก้ไม่ได้ อาจจะต้องใช้วิธีพิสดาร ต้องยึดอำนาจแล้วแก้ จึงจะสามารถแก้ได้ แก้ในระบบ ฝันไปไม่มีทางที่จะหา 67 เสียง สว.ได้ เพราะมีข้อจำกัดต่างๆ จึงเป็นทางเดียวแค่นี้ เมื่อทดลองแล้วล้มเหลว แต่ถ้าไม่ร่วมทดลอง ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยเมื่อทดลอง 50:50 ก็จะรู้ว่าได้หรือไม่ได้“ นายปิยบุตร กล่าว



















