ศูนย์วิจัยเคเคพี รีเสิร์ชปรับลดจีดีพีไทยปีนี้โตเพียง 2.8% หลังตัวเลขการบริโภค-การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง-ส่งออกร่วง ชี้ 3 นโยบายรัฐบาลใหม่เป็นการลดแลกแจกแถมมากกว่าการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
รายงานข่าวจาก KKP Research กลุ่มธุรกิจเกียรตินาคินภัทรแจ้งว่า ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/66 ออกมาค่อนข้างต่ำบ่งบอกว่าเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ โดยเติบโตเพียง 1.8% จากที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 3.1% ทำให้ตัวเลขจีดีพีทั้งปีมีความเสี่ยงที่จะโตต่ำกว่าที่ตลาดประเมินมาก โดยตัวเลขเศรษฐกิจปัจจุบันสวนทางกับการคาดการณ์ในช่วงต้นปีว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวได้ดีในปีนี้จากนักท่องเที่ยวตามการเปิดเมืองของจีน การเติบโตที่อ่อนแอกว่าคาด ทำให้ KKP Research ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจลงจาก 3.3% มาอยู่ที่ 2.8% สำหรับปี 66 และจาก 3.6% มาอยู่ที่ 3.3% ในปี 67
สำหรับตัวเลขจีดีพีด้านการใช้จ่ายเติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก การใช้จ่ายโดยรวมเติบโตได้ถึง 6.7% โดยเฉพาะการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกภาคบริการ ซึ่งได้รับแรงส่งจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคการส่งออกสินค้ายังคงมีทิศทางหดตัวต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่สูงนี้เป็นการเติบโตที่สวนทางกับตัวเลขจีดีพีที่วัดจากฝั่งภาคการผลิตที่ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 1.8% โดยเฉพาะการผลิตในกลุ่มภาคอุตสาหกรรมหดตัว 2.1% และภาคเกษตรมีทิศทางที่ชะลอตัวลงโดยขยายตัวเพียง 0.5% ในไตรมาสนี้ ซึ่งการเติบโตที่แตกต่างกันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสินค้าคงคลังและค่าคลาดเคลื่อนทางสถิติที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าปกติในช่วงที่ผ่านมา
ดังนั้นตัวเลขการเติบโตของการบริโภคที่โตขึ้นอย่างก้าวกระโดดอาจไม่ได้หมายความว่ารายได้ของผู้บริโภคในภาพรวมฟื้นตัวได้ดี หากมองจากมุมมองของการจ้างงาน การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนถึง 16% ของการจ้างงานทั้งหมด ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการส่งออก ขณะที่ภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่อาจได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวโดยตรงมีเพียง 11% ทั้งนี้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับตัวเลขการบริโภคที่สำคัญ 2 ข้อ คือ
1. เครื่องชี้การบริโภคหลายตัวมีทิศทางชะลอลง แม้การบริโภคใน GDP จะขยายตัวได้ดี แต่ตัวชี้วัดอื่น ๆ ด้านการบริโภคยังไม่ได้ฟื้นตัวได้ดีมากนัก เช่น ตัวเลขยอดค้าปลีกของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีทิศทางชะลอตัวลง หรือภาษีที่เก็บได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ปรับตัวลดลง
2.ปัจจัยในระยะข้างหน้ายังคงเพิ่มแรงกดดันทางลบต่อการบริโภค โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและการชะลอการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ จากระดับหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในกลุ่มสูงมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียและสูงกว่าประเทศที่มีระดับรายได้ใกล้เคียงกันอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ KKP Research ประเมินว่าตัวเลขการเติบโตของบริโภคในครึ่งหลังของปีจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญและทำให้ตัวเลขการบริโภคทั้งปีชะลอตัวลงเหลือ 4.5% จากตัวเลขไตรมาส 2 ที่เติบโตได้ถึง 7.8% และในปีหน้าการบริโภคจะยังคงฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ โดยเติบโตประมาณ 3%
นอกจากนี้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีการพึ่งพาต่างประเทศค่อนข้างมากในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกมีวัฏจักรการเติบโตที่สวนทางกันกำลังสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น และจะกระทบเศรษฐกิจไทยใน 3 ประเด็น คือ
1.ภาคการท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด จากนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นความหวังในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังเป็นกลุ่มที่กลับมาได้ช้ามากที่สุด ส่วนหนึ่งเกิดจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้คนจีนที่ออกมาเที่ยวกลายเป็นกลุ่มคนที่มีฐานะปานกลางขึ้นไปและอาจไม่ใช่กลุ่มคนที่มองประเทศไทยเป็นจุดหมายหลัก
2.ภาคส่งออกจะยังฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด สาเหตุหลักมาจากการเติบโตที่ชะลอลงของจีน โครงสร้างการส่งออกสินค้าของไทยมีการพึ่งพาจีนค่อนข้างสูง
3.อัตราดอกเบี้ยที่ค้างสูงในสหรัฐ ฯ จะกดดันให้ภาวะการเงินโลกตึงตัว และเป็นข้อจำกัดต่อการลดดอกเบี้ยของนโยบายการเงินไทย ทำให้ไม่สามารถพยุงเศรษฐกิจในประเทศได้เต็มที่ และส่งผลให้ค่าเงินบาทยังมีความผันผวนต่อเนื่องได้
ทั้งนี้ประเมินว่าดุลการค้าที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติเป็นผลมาจากการปรับตัวแย่ลงของดัชนีการค้า (Terms of trade) หรือ ราคาสินค้าส่งออกหารด้วยราคาสินค้านำเข้า ซึ่งจะพบว่าดุลการค้าและ Terms of Trade มีความสัมพันธ์กันอย่างมากในอดีต โดยในช่วงที่ผ่านมาราคาสินค้านำเข้าของไทยปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคาสินค้าส่งออกทำให้ไทยมีมูลค่าการนำเข้าที่สูงขึ้นมากกว่ามูลค่าการส่งออก สาเหตุหลักเกิดจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ดัชนีการค้าปรับตัวแย่ลงและอยู่ในระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ ในระยะข้างหน้าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำทั้งในปีนี้และปีหน้า และเป็นอีกแรงกดดันให้ค่าเงินบาทไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้เร็วเหมือนในอดีต
อย่่างไรก็ตาม แม้ กนง. ยังแสดงความกังวลต่อเงินเฟ้อและคาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่จากข้อมูลเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาที่ออกมาต่ำกว่าคาดมาก และอาจทำให้ตัวเลขทั้งปีต่ำกว่ากรอบเป้าหมายได้ ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจไม่ได้ฟื้นตัวแข็งแกร่งนักจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ทำให้คาดว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยที่ 2.25% นั่นคือจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่อในการประชุมครั้งหน้า เพื่อประเมินความชัดเจนของแนวโน้มเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ทั้งนี้แม้ว่าในที่สุดจะมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนด้านนโยบายจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมถึง 6 พรรค โดยการแบ่งตำแหน่งรัฐมนตรีกระจายไปตามพรรคต่าง ๆ จะทำให้การผลักดันนโยบายสำคัญ ๆ มีความท้าทาย
อย่างไรก็ตาม KKP Research ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับมองว่า 3 นโยบายที่อาจจะคาดว่าจะได้รับการถูกผลักดันทันทีในระยะเวลา 1 ปีแรกและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ได้แก่ 1. นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งมีต้นทุนประมาณ 5.5 แสนล้านบาท ซึ่งถ้าทำได้จริงประเมินว่าจะทำให้ GDP ในปีหน้าเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 1-1.2% จากประมาณการในปัจจุบัน
2. นโยบายพักหนี้เกษตรกร ซึ่งอาจมีต้นทุนถึง่ 2 หมื่นล้านบาท
3.นโยบายลดค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า และลดค่าน้ำมันดีเซล เป็นที่น่าสังเกตว่านโยบายหลักเป็นนโยบายลดแลกแจกแถม มากกว่านโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดทางการคลังถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด โดยปัจจุบันมี วงเงินที่รัฐสามารถกู้เพิ่มจากเพดานการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลตาม พรบ. การบริหารหนี้สาธารณะ หรือใช้ผ่านรัฐวิสาหกิจ ตามกรอบวงเงินภาระทางการคลังตามมาตรา 28 ของ พรบ. วินัยการเงินการคลัง ได้อีกไม่มากนัก นอกจากนี้ แม้ว่าระดับหนี้สาธารณะที่อยู่ 61% ของ GDP ต่ำกว่าเพดานหนี้ที่ 70% ของ GDP แต่มีความจำเป็นต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการใช้เงิน และความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว