วันพุธ, มิถุนายน 26, 2024
หน้าแรกNEWSจำคุก “ชัยวัฒน์”3ปีผิดม.157 ไม่บันทึกการจับกุม-ส่งตัว “บิลลี่ พอละจี”ให้ตรง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

จำคุก “ชัยวัฒน์”3ปีผิดม.157 ไม่บันทึกการจับกุม-ส่งตัว “บิลลี่ พอละจี”ให้ตรง

ศาลสั่งจำคุก “ชัยวัฒน์” ผิด157 ไม่บันทึกการจับกุม-ส่งตัว“บิลลี่ พอละจี”ให้ตำรวจ ส่วนข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และการอำพรางศพ ศาลยกฟ้องทั้งหมด ระบุมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ 28 ก.ย. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง วันนี้นัดฟังคำพิพากษา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 166/65 ระหว่าง พนักงานอัยการ สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 โจทก์ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน จําเลย

โจทก์ฟ้องว่า จําเลยทั้งสี่ร่วมกันจับกุมตัวนายพอละจี หรือบิลลี่ ที่หน่วยพิทักษ์อุทยาน แห่งชาติแก่งกระจานที่ 6 (ด่านเขามะเร็ว) ในความผิดฐานนำของป่า (น้ำผึ้ง) ออกจากเขตอุทยาน แห่งชาติ จําเลยทั้งสี่ไม่ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ไม่ได้ควบคุมตัวนายพอละจีหรือบิลลี่พร้อม ของกลางส่ง สภ.แก่งกระจานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเปรียบเทียบดำเนินการ ตามกฎหมาย แต่ควบคุมตัวนายพอละหรือบิลลี่พร้อมของกลางไปยังสถานที่ใดไม่ปรากฏ โดยคุมตัวนายพอละจีหรือบิลลี่ไว้ในรถยนต์กระบะเป็นการข่มขืนใจนายพอละจีหรือบิลลี่ให้ต้องยอมไปกับจำเลยทั้งสี่ ทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินและ อยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ ต่อมาจําเลยทั้งสี่ร่วมกันฆ่านายพอละจี หรือบิลลี่ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะจําเลย ที่ 1 มีเหตุขัดแย้งและมีสาเหตุโกรธเคืองกับนายพอละจีหรือบิลลี่มาก่อน จากนั้นจำเลยทั้งสี่ร่วมกันเผาทำลายศพนายพอละจีหรือบิลลี่แล้วเก็บชิ้นส่วนศพ ที่เหลือจากการเผาเศษเถ้าถ่านและที่เหลือใสถังน้ำมัน200 ลิตร ไปทิ้งลงน้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน เพื่อทำลายหลักฐานอำพรางคดี  จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณาบุตรของนายพอละจี หรือบิลลี่ และมารดาของนายพอละจีหรือบิลลีขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจําเลยตามทางไต่สวนแล้ว เห็นว่า สำหรับความผิดข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ไม่นำตัวนายพอละจี หรือบิลลี่ พร้อมของกลางส่งให้เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต พยานหลักฐานโจทก์ และโจทก์ร่วมรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ไม่นำตัวนายพอละจีหรือบิลลี่ พร้อมของกลางนํ้าผึ้งส่งให้เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจดำเนินการตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้อง

ส่วนจำเลยที่2-3ไม่มีเจตนาพิเศษร่วมกระทำผิด จำเลยที่ 4 ไม่มีเจตนาสนับสนุนการกระทำผิด จึงไม่มีความผิด

ความผิดข้อหาร่วมกันข่มขืนใจ หน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง นายพอละจี หรือบิลลี่ให้จำยอมโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน ทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายโดยมีอาวุธเป็นเหตุให้นายพอละจีหรือบิลลี่ผู้ถูกเหนี่ยวกักขังหรือต้อง ปราศจากเสรีภาพนั้นถึงแก่ความตาย การพิจารณาพบว่าคำให้การและพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสี่มีพิรุธ หลายประการ เช่น จุดที่อ้างว่าปล่อยตัวนายพอละจีหรือบิลลี่แต่ไม่มีพยานยืนยัน พยานจำเลยทั้งสี่ที่อ้าง ว่าเห็นนายพอละจีหรือบิลลี่ หลังจากได้รับการปล่อยตัวก็เบิกความกลับไปมาและไม่สอดคล้องกับเวลาที่ ปรากฏในกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงจุดปล่อยตัว มีน้ำหนักน้อย และเส้นทางที่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าใช้ เดินทางกลับหลังปล่อยตัวนายพอละจีหรือบิลลี่ กล้องวงจรปิดในเส้นทางที่ต้องผ่านไม่พบรถยนต์ที่จำเลยทั้งสี่ขับผ่านแต่กลับไปพบรถยนต์ที่จำเลยทั้งสี่ใช้วิ่งไปด่านเขาสามยอดอีกเส้นทาง แต่จะนำเฉพาะคำให้การของจำเลยทั้งสี่เป็นพิรุธมาลงโทษไม่ได้ การพิสูจน์ความผิดต้องมีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนัก มั่นคงมาพิสูจน์ว่ามีการกระทำผิดและจำเลยทั้งสี่เป็นผู้กระทำผิด หลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีเพียงภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิดที่ชี้ให้เห็นว่าคำให้การจำเลยทั้งสี่มีพิรุธ แต่ภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิด ในเส้นทางไปด่านเขาสามยอดไม่ชัดเจนพอที่จะยืนยันการกระทำผิดประกอบไม่มีหลักฐานทั้งพยาน บุคคล วัตถุพยาน หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสี่พานายพอละจีไปด่านเขาสามยอด ตามที่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนทั้งประเด็นหรือไปยังสถานที่ใด พยาน จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอรับฟังว่ามีการกระทำผิดโดยจำเลยทั้งสี่

ความผิดข้อหาร่วมกันฆ่านายพอละจีหรือบิลลี่โดยไตร่ตรอง ผลการ ตรวจไมโทคอนเดรียดีเอ็นเอชิ้นส่วนกระดูก Temporal (กระดูกขมับ) ข้างซ้าย วัตถุพยานที่พบใต้น้ำใน เขื่อนแก่งกระจานเป็นของบุคคลที่เป็นบุตรของนางโพเราะจี หรือเป็นหลานของ นางนอกะเต มารดา นางโพเราะจี เนื่องจากสารพันธุกรรมในไมโทคอนเดรียเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากมารดาสู่บุตร แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของบุคคลใด ส่วนการวิเคราะห์กระดูกวัตถุพยาน พบว่าเป็นของบุคคลอายุ 20ปี ขึ้นไปไม่สามารถบอกเพศ ความสูงและเชื้อชาติซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิสูจน์เอกลักษณ์ของ บุคคลได้ การนําแผนผังเครือญาติมาใช้ประกอบผลการตรวจหาดีเอ็นเอแบบไมโทคอนเดรีย คดีนี้ยังมี ข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นการจำกัดวงอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ และไม่มีแพทย์หรือผู้ตรวจพิสูจน์ ทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันผลได้ว่าชิ้นส่วนกระดูกวัตถุพยานเป็นของนายพอละจีหรือบิลลี่ จึงฟังไม่ได้แน่ ชัดว่ากระดูก Tempora (กระดูกขมับ) ข้างซ้าย วัตถุพยานเป็นของนายพอละจีหรือบิลลี่ มีผลให้ฟังไม่ได้ ว่านายพอละจีหรือบิลลี่ถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ความผิดข้อหาร่วมกันเผาทำลายศพนายพอละจีหรือบิลลี่และเก็บชิ้นส่วนศพที่เหลือจากการเผา เศษเถ้า ถ่านและเศษสิ่งของอื่น ๆ ที่เหลือบรรจุใส่ถังน้ำมัน 200ลิตร ไปทิ้งใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่ง กระจาน เพื่อทำลายหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของตน เพื่ออำพรางคดีแก่ศพหรือ สภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น

เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่ากระดูก Temporal (กระดูกขมับ) ข้างซ้าย วัตถุพยานเป็นของนายพอละจีหรือบิลลี่ ประกอบกับโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสาม ไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใกล้ชิดเห็นหรือเชื่อมโยงได้ว่าจำเลยทั้งสี่นำถังน้ำมันของกลางไป ทิ้งในเขื่อน จึงไม่มีพยานรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่เช่นกัน

พิพากษาว่า จําเลยที 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157(เดิม) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องจำเลยที่ 2-4.

ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์จะได้ใช้สิทธิ์ในการประกันตัวเพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป

น.ส.พรเพ็ญ  คงขจรเกียรติ ทนายความของภรรยาบิลลี่ ยืนยัน จะยื่นอุทธรณ์คดีอย่างแน่นอน เนื่องจากศาลลงโทษเฉพาะความมิด มตรา 157 กรณีจับกุมตัวนายบิลลี่ พร้อมน้ำผึ้งป่า และไม่นำตัวส่งพนักงานสอบสวน ตามขั้นตอนของกฎหมาย คดีนี้ เท่ากับน้อนไปสู่จุดเริ่มต้น ว่านายบิลลี่ ยังคงเป็นบุคคลสูญหาย จึงจะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้ามี่รัฐ ในกานพิสูจน์การหายตัวไปของนายบิลลี่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการรับฟังการพิจารณา นายชัยวัฒน์ มีสีหน้าท่าทีเรียบเฉย ส่วน พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมึนอ ภรรยานายบิลลี่ ร้องไห้หลังทราบคำพิพากษา  พร้อมยืนยันว่า อยากตามหาบิลลี่ให้พบ  เพื่อให้หายข้องใจว่า สามีหายตัวไปไหน ระหว่างทนายให้สัมภาษณ์

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img