ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง 6.80 จุด หลังตัวเลขเงินเฟ้อจีนต่ำกว่าคาดส่งผลให้หุ้นที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจจีนถูกเทขายออกมา ขณะที่ผลประกอบการกลุ่มค้าปลีกแย่กว่าคาด ลุ้นฟื้นตัวในวันพรุ่งนี้
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เปิดเผยภาวะตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,404.97 จุด ลดลง 6.80 จุด หรือ -0.48% มูลค่าซื้อขาย 49,743.19 ล้านบาทว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวลงลึก Underperform เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อจีนต่ำกว่าคาดส่งผลให้หุ้นที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนมีแรงขายออกมา รวมทั้งกลุ่มค้าปลีกวันนี้ปรับตัวลงมาก เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 3/66 ไม่ค่อยดีเท่าไร และหุ้น TRUE ที่มีข่าวยอดขายหุ้นกู้พลาดเป้ากระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นอกจากนี้วันนี้มีความคิดเห็นของผู้บริหารค้าปลีกรายหนึ่งที่มีความกังวลว่ายอดขายในไตรมาส 4/66 และครึ่งปีแรกในปี 67 จะซบเซา เนื่องจากประชาชนโดยเฉพาะในกรุงเทพ ยังรอความชัดเจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น Digital Wallet มาตรการลดภาษีสำหรับนักท่องเที่ยว ทำให้การจับจ่ายใช้สอยชะลอตัว ส่งผลให้ในวันนี้มีแรงขายค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในระยะยาวจะดีขึ้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี (บอนด์ยีลด์) ย่อลงมาที่ระดับ 4.50% หุ้นที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ได้แก่ หุ้นโรงไฟฟ้าและหุ้นไฟแนนซ์
สำหรับแนวโน้มตลาดในวันพรุ่งนี้ลุ้นฟื้นตัว หากบอนด์ยีลด์สหรัฐย่อตัวลง ราคาน้ำมันทรงตัว และรัฐบาลมีความชัดเจนในนโยบายแจกเงิน Digital Wallet กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีให้แนวรับไว้ที่ 1,390 จุดและแนวต้าน 1,420 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
BH มูลค่าการซื้อขาย 2,570.23 ล้านบาท ปิดที่ 233.00 บาท ลดลง 16.00 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,050.35 ล้านบาท ปิดที่ 162.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,793.39 ล้านบาท ปิดที่ 26.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,665.34 ล้านบาท ปิดที่ 55.00 บาท ลดลง 0.75 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,605.18 ล้านบาท ปิดที่ 33.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท