วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight“บิ๊กป้อม” สั่งรับมือภัยคุกคามทางทะเล
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“บิ๊กป้อม” สั่งรับมือภัยคุกคามทางทะเล

“พล.อ.ประวิตร” สั่งประเมินและรับมือกับภัยคุกคามทางทะเลที่กระทบผลประโยชน์ชาติ จาก COVID-19 ย้ำการมีส่วนร่วมสำคัญยิ่ง

เมื่อวันที่ 24 ก.ย. พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำ รองนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ครั้งที่ 2/63 ณ สมช. ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประเมินสถานการณ์ภัยคุกคามทางทะเลที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติและเตรียมแผนรองรับอย่างเป็นระบบ

โดยที่ประชุมรับทราบ สรุปการประเมินสถานการณ์ทางทะเล ที่มีผลกระทบหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 พบว่า ภาพรวมสถานการณ์ความมั่นคงทางทะเลตึงเครียดขึ้น มีการเผชิญหน้าระหว่างประเทศทางทะเลมากขึ้น ระบบการปฏิบัติการความมั่นคงทางทะเลถูกลดขีดความสามารถลง จากการงด เลื่อนหรือยกเลิกกิจกรรมความร่วมมือทางทะเล ซึ่งองค์กรและหน่วยงานทางทะเลระหว่างประเทศ ได้กำหนดมาตรการเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดตามมาอย่างต่อเนื่อง พบการลักลอบเข้าเมืองทางทะเลของกลุ่มชาวโรฮีนยาจากบังคลาเทศไปยังมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ยังพบอัตราการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นเรือสูงขึ้น ขณะที่การปฎิบัติการช่วยเหลือทางทะเลมีความยากลำบากขึ้น เนื่องจากหลายประเทศไม่อนุญาตให้เรือที่พบผู้ติดเชื้อเข้าเทียบท่า 

ในขณะเดียวกัน ผลกระทบเศรษฐกิจทางทะเล พบการทำประมงผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น จากการระดมทรัพยากรทางทะเลของประเทศต่างๆ ซึ่งแรงงานภาคประมงผิดกฎหมาย ที่ไม่ผ่านการคัดกรองยังมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด การท่องเที่ยวทางทะเลและชายฝั่งหดตัวลง การขนส่งสินค้าทางทะเลลดลง การผลิตน้ำมันดิบลดลง ด้านทรัพยากรทางทะเลสมบูรณ์ขึ้น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง แต่พบปริมาณขยะทางทะเลมีเพิ่มขึ้น จากขยะทางการแพทย์และขยะพลาสติกที่เกิดจากการบริการอาหารจานด่วน

นอกจากนั้นได้รับทราบ การขับเคลื่อนแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเลที่ผ่านมา (ปี 58-64) มุ่งบูรณาการเชื่อมโยงให้สอดรับกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนสำคัญของประเทศและนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญของรัฐบาล รวมทั้งสถานการณ์และภัยคุกคามทางทะเล โดยมีโครงการและกิจกรรมต่างๆและมีการวัดผลสัมฤทธิ์สะท้อนความสำเร็จในแต่ละปีงบประมาณ โดยการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ( ศรชล.) สำคัญที่ผ่านมา ได้รักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ด้วยการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศและกฏหมายระหว่างประเทศ โดยยึดหลักมนุษยธรรม  ทั้งการนำเข้ายาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมายเข้าในราชอาณาจักร การทำประมงผิดกฎหมาย การควบคุมป้องกัน COVID-19 และคัดกรองประชาชนและชาวประมงกว่า 624,500 คน  รวมทั้งการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการจัดระเบียบประมงชายฝั่ง เป็นต้น  

ต่อจากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณา แนวทางการจัดทำแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเลฉบับใหม่ ปี 66-70 ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะที่ 2 (พ.ศ.2566-2570 ) โดยให้ประเมินและวิเคราะห์สถาน การณ์ รวมทั้งภัยคุกคามในเชิงยุทธศาสตร์ทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาคและประเทศไทย ร่วมกับการติดตามและประเมินผลการดำเนินการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลที่ผ่านมา โดยให้ตรวจสอบและรวบรวมประเด็นทางทะเลในยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับชาติให้มีบูรณาการเชื่อมโยงกัน พร้อมกับรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้เกิดความรอบคอบ ทั้งนี้ให้จัดตั้งกลไกเพื่อจัดทำร่างแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเลฉบับใหม่ให้ครอบคลุมทุกมิติ

“ขอให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันขับเคลื่อนงานตามแผนงานให้มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม โดยให้ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ( ศรชล.) ประสานการทำงานร่วมกับ กอ.รมน.ในพื้นที่ทางบก ทั้งการแก้ปัญหาเร่งด่วนและการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต และให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาแรงงานผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ในภาคประมงมากขึ้น ทั้งนี้ให้ดำเนินการควบคู่กับการเสริมสร้างองค์ความรู้และศึกษารูปแบบการจัดตั้งองค์กรจัดการความรู้ทางทะเล กระจายให้ความรู้กับท้องถิ่นและสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมกันรับผิดชอบของทุกภาคส่วนให้มากที่สุด รวมทั้งให้นำผลจากข้อเสนอแนะทางวิชาการไปใช้ประโยชน์ ในการประเมินผลการบริหารจัดการผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ที่เน้นความยั่งยืนเป็นสำคัญ” พล.อ. ประวิตร กล่าว 

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img