กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.2-2.7% หวั่นส่งออกหดตามการค้าโลก-ปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนฉุดรั้งจีดีพี ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังทรงตัวอยู่ระดับสูง
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือกกร. ว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า โดยเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1/2567 เติบโต 1.5% ขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสก่อนจากการหดตัวของการส่งออกและการใช้จ่ายของภาครัฐ ขณะที่ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จำกัด เนื่องจากการส่งออกฟื้นตัวได้ช้าตามการค้าโลกที่ชะลอตัว และปัญหาเอลนีโญ (ฝนแล้ง) ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้ผลผลิตการเกษตรลดลง ส่วนการใช้จ่ายของครัวเรือนได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ทั้งปี กกร. คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 2.2-2.7%
ขณะที่การค้าโลกและปริมาณการส่งออกชะลอตัวชัดขึ้น ปริมาณการส่งออกของโลกชะลอตัวต่อเนื่อง ส่วนภาคอุตสาหกรรมของประเทศสำคัญยังฟื้นตัวได้ช้า นอกจากนี้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มกลับมารุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการขึ้นภาษีรอบล่าสุดของสหรัฐฯต่อสินค้ากลุ่มรถยนต์ EV โซลาร์เซลล์ เซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น โดยมีกำหนดบังคับใช้ภายในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมต่อการค้าโลก ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ถูกสหรัฐฯมองว่าจีนใช้เป็นฐานการผลิต
ทั้งนี้ที่ประชุมกกร. ได้มีการหารือในประเด็นสำคัญเพิ่มเติม ดังนี้
1.กกร.เห็นด้วยและขอบคุณรัฐบาลที่ได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น จากการประชุม ครม. เศรษฐกิจ ทั้งมาตรการเพิ่มการท่องเที่ยวช่วง Low-season ที่เชื่อว่าจะช่วยกระจายรายได้ไปทั่วประเทศ รวมถึงการเสนอมาตรการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. วงเงินประมาณ 5 หมื่นล้านบาทที่เตรียมนำเสนอ ครม.นั้น จะส่งผลดีต่อเนื่องไปยังการลงทุน การจ้างงาน และการบริโภค และคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจประมาณ 2 แสนล้านบาท ทั้งนี้กกร. พร้อมเข้าไปมีส่วนช่วยคัดกรองและรับรอง SMEs ที่มีศักยภาพ ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ที่ประชุมกกร. ได้เสนอให้ภาครัฐมีมาตรการเพิ่มเติมในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs รวมถึงมาตรการสนับสนุนให้ SMEs เข้ามาอยู่ในระบบเศรษฐกิจ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 5-7 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัวและเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น
2. กกร.อยู่ระหว่างหารือกับภาครัฐเกี่ยวกับแนวทางการปรับค่าแรงขั้นต่ำให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) และดำเนินการตามกรอบกฎหมาย ตามข้อเสนอของภาคเอกชนในประเด็นที่ได้นำเสนอรัฐบาลไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยแต่ละพื้นที่จะประสานผ่าน กกร.จังหวัดให้มีการหารือร่วมกับคณะอนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด (ไตรภาคี) ต่อไป
3. ที่ประชุม กกร. มีความกังวลต่อภาคการส่งออกสินค้าที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่มีแนวโน้มกลับมารุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าของจีนไปยังสหรัฐฯ ทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่ทดแทนเพื่อส่งออกสินค้า ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมต่อการส่งออกสินค้าของไทยที่อยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ภาคการส่งออกยังมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้นจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่หมุนเวียนไม่ทันเนื่องจากระยะเวลาขนส่งที่นานขึ้น ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคส่งออก และส่งเสริมสินค้าที่มีศักยภาพ ในอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุดเพื่อเพิ่มมูลค่าในการส่งออกของประเทศ