วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSการบริโภคภาคเอกชน-ส่งออก-บริการหนุนจีดีพีไตรมาส2/67 โต 2.3%
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

การบริโภคภาคเอกชน-ส่งออก-บริการหนุนจีดีพีไตรมาส2/67 โต 2.3%

เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/67 ขยายตัว 2.3% แรงหนุนจากการบริโภคเอกชน-ภาครัฐ-ส่งออก-บริการ ขณะที่การลงทุนหดตัว 2.6% คาดทั้งปีจีดีพีโต 2.5%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไตรมาส 2/67 ว่า ขยายตัวได้ 2.3% ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา และเมื่อปรับฤดูกาลแล้วเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 0.8% 

โดยได้รับอานิสงส์จาการบริโภคเอกชนที่ขยายตัว 4% การบริโภคภาครัฐบาลขยายตัวได้ 0.3% การส่งออกที่ขยายตัวได้ในไตรมาสนี้ขยายตัวได้ 1.9% และบริการ 19.8% แต่การลงทุนรวมยังหดตัวอยู่ 6.2% 

ขณะที่จีดีพีภาคเกษตรของไทยในไตรมาสที่ผ่านมาลดลง1.1% เป็นผลมาจากการผลิตสินค้าเกษตรที่ลดลงหลายชนิด ส่วนจีดีพีนอกภาคเกษตรขยายตัวได้ 2.6% จากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ขยายตัว 1.8% และกลุ่มบริการที่ขยายตัวได้ 1.8% 

อย่างไรก็ตามการเบิกจ่ายการลงทุนภาครัฐยังเป็นไปไม่ตามเป้าหมาย แต่จะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่จะเบิกจ่ายได้มากขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา และปีงบประมาณ 68 จะมีการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเวลาที่วางไว้ ซึ่งต้องทำให้มีการเบิกจ่ายได้มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยคาดว่า จีดีพีไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 2.3 – 2.8% (ค่ากลาง 2.5%) ซึ่ง สศช. ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยครั้งใหม่แคบลงกว่าเดิม ซึ่งก่อนหน้านี้เคยคาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 2-3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ดังนี้

  • การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
  • การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ 
  • การเพิ่มขึ้นของแรงขับเคลื่อนจาก
  • การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ 
  • การกลับมาขยายตัวอย่างช้า ๆ ของการส่งออกสินค้าตามการฟื้นตัวของการค้าโลก 

ทั้งนี้คาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 4.5% และ 0.3% ตามลำดับ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สรอ. ขยายตัว 2.0% อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.4 – 0.9% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.3% ของ GDP

สำหรับประเด็นที่สภาพัฒน์ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เหลือของปีนี้เช่น 

1.เรื่องของหนี้สิน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาคการเงิน และภาคเงินต้องจับตาสถานการณ์การที่หนี้สินครัวเรือน และหนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่สูงขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ต้องมีมาตรการที่มุ่งเป้ามากขึ้น 

2.การปรับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยของประเทศเศรษฐกิจหลัก รวมถึงอัตราว่างงานที่สูง 

3.การขนส่งที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 

4.การเลือกตั้งสหรัฐฯที่จะมีมาตรการในการกีดกันการค้ามากขึ้น

5.การเฝ้าระวังสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่นำเข้า โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการเฝ้าระวังสินค้าที่คุณภาพต่ำ มีการตรวจสอบคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งต้องมีการออกมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรมที่ให้สินค้านั้นมีคุณภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเร่งรัดตรวจสอบสินค้านำเข้าผิดกฎหมาย และเลี่ยงภาษีมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือภาคผู้ผลิตเอสเอ็มอีด้วย  

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความท้าทายสำคัญในเรื่องของเศรษฐกิจ เนื่องจากการลงทุนของภาคเอกชนยังต่ำ และไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศมีขนาดที่ลดลง ซึ่งต้องสร้างแรงจูงใจในการลงทุนมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคส่วนของแรงงาน ที่จะต้องตอบโจทย์อุตสาหกรรมใหม่ๆและอุตสาหกรรมเป้าหมายมากขึ้น

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img