‘เพื่อไทย’ เปิดรายละเอียดนโยบายสร้างรายได้ใหม่ของรัฐ ด้วยการนําเศรษฐกิจนอกระบบภาษี และเศรษฐกิจใต้ดิน เข้าสู่ระบบภาษี ‘Entertainment Complex’ , Sex worker
เมื่อวันที่21 ก.ย.พรรคเพื่อไทยได้โพสต์ข้อความระบุว่า
‘นำเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน’ ในนโยบายเร่งด่วน นโยบายที่ 4
“รัฐบาลจะสร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนําเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษี ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่า 50% ของ GDP
รัฐบาลสามารถนำรายได้ส่วนนี้ ไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค รวมทั้งอุดหนุนค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานของประชาชน
ขณะเดียวกัน จะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน”
คือส่วนหนึ่งในคําแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา เมื่อ 12 กันยายน 2567
เศรษฐกิจใต้ดิน คือ การสร้างรายได้ในรูปแบบที่ผิดกฎหมาย หรือกฎหมายไม่รองรับ เข้าสู่ระบบ ซึ่งอาจหมายความรวมถึง Entertainment complex , Sex worker รวมถึงการขยายเวลาสถานบันเทิง ขายสุรา หรือทบทวนการโซนนิ่งสถานบันเทิง
[Entertainment complex เคยมีการศึกษาแล้ว และไปต่อ ]
ประเทศไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามที่จะนำเศรษฐกิจที่กฏหมายไม่รองรับ นำมาบริหารจัดการโดยภาครัฐ แต่สุดท้ายมักจะไม่สำเร็จ เนื่องด้วยบริบทของสังคมที่ยังไม่เปิดเท่าที่ควร แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลที่ผ่านมามีความพยายามที่จะศึกษาความเป์นไปได้ในเรื่องนี้
วันที่ 24 มีนาคม 2562 – 20 มีนาคม 2566 สส.ยื่นญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) การจัดเก็บรายได้และภาษีจากธุรกิจกาสิโนถูกกฎหมาย และมาตรการในการป้องกัน
จากนััน กมธ.ได้นำเสนอรายงานผลการพิจารณาศึกษาต่อสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2565 ก่อนที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรจะสิ้นสุดลง เมื่อ 20 มีนาคม 2566 จากการยุบสภาผู้แทนราษฎร
วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 – ปัจจุบัน ในสมัยสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิด ‘สถานบันเทิงครบวงจร’ (Entertainment Complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อ 26 ตุลาคม 2566 ซึ่งผลการศึกษาเสร็จแล้ว เมื่อ 18 มีนาคม 2567
เนื้อหาบางส่วนของผลการศึกษาดังกล่าว ดังนี้
ผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง ศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (ENTERTAINMENT COMPLEX) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (ENTERTAINMENT COMPLEX) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ สภาผู้แทนราษฎร
ผลการศึกษา ระบุว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่อุตสาหกรรมในกลุ่ม Fun economy ซึ่งรวมตั้งแต่การท่องเที่ยว กีฬา สถานบันเทิง ธุรกิจการ จัดประชุมและจัดนิทรรศการ (MICE)
[Entertainment Complex สร้างรายได้ใหม่ผ่านแหล่งท่องเที่ยว Man made]
อุตสาหกรรมในกลุ่ม Fun economy ทั่วโลก มีขนาดมูลค่าการตลาดที่สูงถึง 13.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่สามารถต่อยอดอุตสาหกรรม Fun economy ได้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่และเพิ่มเติมรายได้เข้าประเทศ หนึ่งในนั้นคือการนำธุรกิจกาสิโนและการพนันถูกกฎหมายให้เข้ามาอยู่ในระบบอย่างมีมาตรฐาน ภายใต้การควบคุมของกฎหมาย และมีการจัดเก็บรายได้และภาษีอย่างถูกต้อง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลังระบุว่าในปี 2565 ทั่วโลกมีมูลค่าสถานบันเทิงครบวงจรประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2571 คาดว่าจะเติบโตถึง 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
[Entertainment complex ไม่ใช่แค่ Casino ]
สถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) ขนาดใหญ่ ที่อาจประกอบด้วยธุรกิจต่าง ๆ เช่น
1.ห้างสรรพสินค้าครบวงจร
- โรงแรมระดับ 5 ดาว
- ร้านอาหารและบาร์
4.ศูนย์ประชุมหรือสถานที่จัดนิทรรศการขนาดใหญ่ (MICE)
5.ศูนย์สุขภาพครบวงจร
6.สนามกีฬา - ยอร์ชและครูซซิ่งคลับ
- สถานที่เล่นเกม
- สระว่ายน้ำ และสวนน้ำ
- สวนสนุก
- พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทย และสินค้า OTOP
- กิจกรรมอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการบริหารกำหนด [การบริหารจัดการ ต้องทำโดยมืออาชีพ หน่วยงานของรัฐกำกับ]
(1) ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร จะต้องเป็นดำเนินการโดยผู้ประกอบการที่เป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในการทำสถานบันเทิงครบวงจร หรือกิจการที่เกี่ยวข้องมาก่อน ปราศจากความเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมและการทุจริต และผู้ประกอบการต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาล
(2) ผู้เล่นการพนันต้องได้รับทราบข้อมูล และสามารถมั่นใจว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบ
(3) ต้องมีบทบัญญัติคุ้มครองเด็กและเยาวชน และบุคคลที่ขาดความสามารถในการปกป้องตนเอง
(4) ต้องมีหน่วยงานกำกับดูแลกิจการพนัน (Gambling Commission) ที่น่าเชื่อถือ
(5) ต้องมีกลไกป้องกันและลดผลกระทบจากการพนันที่ครอบคลุมพร้อมปฏิบัติ
ตลอดเวลา
(6) ควรมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อลดผลกระทบจากการพนัน รวมถึงการฟื้นฟูและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการเล่นพนัน
(7) ต้องมีการจัดเก็บภาษีโดยรัฐบาล และผู้ประกอบการจะต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานการพนันอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Gambling standard)
[Entertainment complex มีทั้งผลกระทบเชิงบวก และลบ]
ผลกระทบเชิงบวก
1.รัฐสามารถสร้างรายได้จากการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจากธุรกิจสถานบันเทิงแบบครบวงจรและกาสิโน เป็นจำนวนปีละหลายแสนล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมาการตั้งบ่อนกาสิโนเป็นสิ่งที่ต้องห้ามตามกฎหมายภายในประเทศ ทำให้คนไทยต้องเดินทางไปเล่นการพนันที่ถูกกฎหมายยังประเทศอื่น ๆ
- ถ้ารัฐมีการส่งเสริมให้มีสถานบันเทิงแบบครบวงจรและกาสิโนในประเทศไทยให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว จะส่งผลให้ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น รัฐมีรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึงรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวของประชาชน
3.หากมีการสร้างสถานบันเทิงแบบครบวงจรและกาสิโนในประเทศ รัฐจะสามารถสร้างงานให้กับประชาชนได้เป็นจำนวนมาก ทั้งแรงงานโดยตรงที่ทำงานในสถานที่ดังกล่าว รวมทั้งแรงงานในภาคส่วนที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจภาคการก่อสร้าง และภาคบริการ และอาหารการกิน เป็นต้น
- การลดภาระของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในการปราบปรามการพนันเถื่อน การช่วยลดปัญหาผู้มีอิทธิพล และลดปัญหาประชาชนนำเงินออกไปเล่นการพนันนอกประเทศ เป็นต้น
ผลกระทบเชิงลบ เช่น ก่อให้เกิดปัญหาต่อสังคมได้หากรัฐไม่มีมาตรการควบคุมสถานกาสิโนอย่างเข้มงวดและโปร่งใส เช่น สังคมเสื่อมศีลธรรม ปัญหาฉ้อโกง ปล้น ลักทรัพย์ การก่ออาชญากรรมตลอดจนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาครอบครัว
[ข้อเสนอแนะ ของ กมธ.ที่น่าสนใจ]
1.มีการกำหนดอัตราส่วนพื้นที่ธุรกิจกาสิโนต่อพื้นที่ธุรกิจอื่น ๆ อย่างเหมาะสม
2.ต้องมีใบอนุญาติจำกัดระยะเวลา เช่น 20 ปี และมีการต่ออายุทุกๆ 5 ปี ภายใต้เงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด
3.ควรจะมีการตั้ง “ภาษีกาสิโน” โดยเฉพาะ โดยคิดจากรายได้ขั้นต้นจากการเล่นพนัน (Gross Gaming Revenue; GGR) กล่าวคือ รายได้หลังการหักค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ผู้ประกอบการได้จากผู้เล่นที่วางเดิมพัน
4.ต้องมีกฏหมายควบคุม โดยต้องมีร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ….คณะกรรมาธิการเห็นว่า เพื่อให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความมั่นคงยิ่งขึ้น
[ผลการศึกษา ผลักดันให้มี Entertainment complex โดยมีกฎหมายควบคุม รัดกุม]
1.ควรจะมีการผลักดันให้มีสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ให้เกิดขึ้น
2.อยู่ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ผ่านกลไกมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็น คือ การมีกฎหมายเฉพาะด้านสำหรับเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในการกำกับดูแลดังกล่าว เช่น
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางของนโยบายรวมถึงมาตรการกลไกและองคาพยพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงครบวงจร ให้สามารถที่จะขับเคลื่อนไปสู่จุดมุ่งหมายด้วยกันอย่างเกิดผลสัมฤทธิ์
3.คณะกรรมาธิการจึงได้ยกตัวอย่างร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. ขึ้นมาหนึ่งฉบับ เพื่อเป็นแนวทางการกำกับดูแลและการควบคุมการดำเนินงานของการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรในภาพรวม
[Sex worker และการขยายเวลาการเปิดสถานบริการ และขายสุรา รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย สนับสนุนผลักดันเรื่องนี้]
ปัจจุบันได้เริ่มมีการศึกษา Sex worker ผ่าน ‘คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา แนวทางการแก้ไขปัญหาสถานบันเทิงและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันการเรียกรับผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ สภาผู้แทนราษฎร’ มีขัตติยา สวัสดิผล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธานคณะ กมธฯ ได้ทำการศึกษาและลงพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนผู้ใช้บริการและหารือกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง และทุกฝ่าย เพื่อศึกษา รวบรวมข้อมูลและเพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ เพื่อจัดทำรายงานการศึกษาที่มีความสมบูรณ์ครบทุกมิติเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร
1.หาจุดร่วมตรงกลางระหว่างผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการ เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ได้รับผลกระทบจากการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิง
2.ปิดช่องการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ เพื่อไม่ให้มีการเรียกรับผลประโยชน์
3.พิจารณาประเด็นเวลาเปิด-ปิดของสถานบันเทิง เพื่อศึกษาให้เปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. ในจังหวัดตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงอายุของคนทำงาน และมาตรการอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว
4.พิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงข้อกฏหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี
รายได้ที่อยู่ใต้ดิน มากกว่า 50% ของ GDP หากนำขึ้นมาอยู่บนดินได้ ไม่เพียงแต่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น แต่หมายความรวมถึงรายได้ของรัฐจากการจัดเก็บภาษี จะเพิ่มมากขึ้น รายได้จากภาษีส่วนนี้สามารถแปลงค่ามาเป็นการพัฒนาในด้านการศึกษา สังคม วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อไทย เพื่อคนไทยทุกคน