วันอาทิตย์, ตุลาคม 6, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightเปิดผลเฮียริ่งการตั้งสถาบันเทิงครบวงจร แนะสร้างนอกเขตกทม.ชงเพิ่ม'พนันกีฬา'
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เปิดผลเฮียริ่งการตั้งสถาบันเทิงครบวงจร แนะสร้างนอกเขตกทม.ชงเพิ่ม’พนันกีฬา’

สศค.เปิดผลรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร แนะตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อกระจายรายได้สู่ภูมิภาค เสนอเพิ่มการพนันกีฬา และเกมที่ใช้ทักษะอย่าง Poker

รายงานข่าวจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)แจ้งว่า ได้สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. ซึ่งได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นระหว่างวันที่ 2-18 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา เป็นระยะเวลา 17 วัน โดยมีผู้แสดงความคิดเห็นจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป ผ่านทางเว็บไซต์ของ สศค. และระบบกลางของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)

จากการรวบรวมความคิดเห็น พบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการ เริ่มตั้งแต่ชื่อของร่าง พ.ร.บ. ที่มีผู้เสนอให้เปลี่ยนเป็น “พระราชบัญญัติสถานประกอบการท่องเที่ยวครบวงจร” (Integrated Resort Act) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของต่างประเทศและส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของโครงการ ทั้งนี้ มีความเห็นว่าชื่อเดิมอาจกว้างเกินไปและไม่สะท้อนเป้าหมายหลักของกฎหมายอย่างชัดเจน

ในส่วนของโครงสร้างการบริหารจัดการ มีข้อเสนอแนะให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหาร โดยให้มีการเปิดรับสมัครสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และเพิ่มผู้แทนจากหลากหลายสาขา รวมถึงภาคประชาสังคม เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาชุมชน สิทธิมนุษยชน เด็กและเยาวชน เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา และสุขภาพจิต

นอกจากนี้ยังมีความเห็นว่าควรจัดตั้งคณะกรรมการบริหารระดับพื้นที่จังหวัดที่มีการตั้งสถานบันเทิงครบวงจรด้วย เพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือการกำหนดสถานที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร โดยมีข้อเสนอให้ระบุไว้อย่างชัดเจนในร่าง พ.ร.บ. ว่าควรตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อกระจายรายได้สู่ภูมิภาค โดยเสนอพื้นที่ที่มีศักยภาพ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี ระยอง และหัวหิน อย่างไรก็ตาม มีบางความเห็นที่เสนอให้พิจารณากรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่อาจตั้งสถานบันเทิงครบวงจรได้ด้วย

ด้านการประกอบธุรกิจ มีข้อเสนอให้เพิ่มประเภทธุรกิจในสถานบันเทิงครบวงจรจาก 4 ประเภทเป็น 7 ประเภท และควรสนับสนุนให้มีพื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้า OTOP ด้วย นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้เพิ่มประเภทธุรกิจที่จะช่วยพัฒนาประเทศ เช่น ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ พิพิธภัณฑ์ และสนามแข่งรถ มีการเสนอให้เปลี่ยนคำว่า ห้างสรรพสินค้า เป็นศูนย์การค้า เพื่อให้ครอบคลุมถึงพื้นที่ให้เช่าด้วย

สำหรับการดำเนินการกาสิโน มีข้อเสนอให้กำหนดพื้นที่การเล่นเกมให้ชัดเจน โดยอาจกำหนดสัดส่วนไว้ที่ร้อยละ 5-20 ของพื้นที่ทั้งหมด และควรอนุญาตให้เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ในส่วนของประเภทการเล่น มีข้อเสนอให้เพิ่มเติมการพนันกีฬา (Sport Betting) และเกมที่ใช้ทักษะอย่าง Poker ด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้พิจารณาอนุญาตให้มีการพนันออนไลน์ แต่ก็มีความเห็นคัดค้านว่าอาจก่อให้เกิดปัญหาสังคมมากขึ้น

ประเด็นที่มีการถกเถียงอย่างมากคือค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมการเข้ากาสิโน โดยมีความเห็นว่าค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่กำหนดไว้อาจสูงเกินไป ทำให้มีผู้ประกอบการน้อยราย ส่วนค่าธรรมเนียมการเข้ากาสิโนสำหรับคนไทยที่กำหนดไว้ก็มีผู้เห็นว่าสูงเกินไป ควรปรับลดลงเหลือประมาณ 1,000-2,000 บาท นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้พิจารณากำหนดค่าธรรมเนียมการเข้าเล่นรายปีด้วย โดยอาจกำหนดไว้ประมาณ 20,000 – 40,000 บาท

ในด้านการกำกับดูแล มีข้อเสนอให้กำหนดสัดส่วนผู้ถือหุ้นไทยอย่างน้อยร้อยละ 30-51 และควรป้องกันการใช้นอมินีต่างชาติ นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้กำหนดสัดส่วนพนักงานคนไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ด้วย ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหรือกรรมการของผู้รับใบอนุญาต มีความเห็นว่าไม่ควรกำหนดให้ต้องได้รับอนุญาตก่อน หากผู้เข้ารับตำแหนงดังกล่าวเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน

ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการให้สินเชื่อกับผู้เข้าเล่น โดยมีทั้งฝ่ายที่เห็นว่าควรอนุญาตให้ให้สินเชื่อได้ทั้งคนไทยและต่างชาติ และฝ่ายที่เห็นว่าควรห้ามให้สินเชื่อแก่คนไทยหรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในไทย ทั้งนี้ มีข้อเสนอให้กำหนดวงเงิน อัตราดอกเบี้ย และกำหนดเวลาชำระหนี้อย่างเข้มงวด หากมีการอนุญาตให้ให้สินเชื่อ

ในส่วนของบทกำหนดโทษ มีความเห็นว่าโทษที่กำหนดไว้ในร่าง พ.ร.บ. ยังเบาเกินไป ควรเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงขึ้น เช่น การพักใบอนุญาต การเพิ่มค่าปรับ และการกำหนดโทษอาญาในบางกรณี นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้กำหนดโทษเพิกถอนกิจการ และอายัดทรัพย์สินหรือที่ดินของกิจการที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต

นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมที่อาจเกิดขึ้น เช่น ปัญหาการติดพนัน ความแตกแยกของสถาบันครอบครัว อาชญากรรม และผลกระทบต่อศีลธรรมและความสงบเรียบร้อยของประเทศ จึงมีข้อเสนอให้จัดตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผลกระทบทางสังคม โดยให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนที่มาจากการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนภาคประชาสังคม และผู้แทนภาคประชาชน โดยกองทุนนี้ควรมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนัน ส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

อีกประเด็นที่มีการแสดงความกังวลคือเรื่องการฟอกเงิน โดยเกรงว่าสถานบันเทิงครบวงจรอาจกลายเป็นแหล่งฟอกเงิน จึงมีข้อเสนอให้กำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่เข้มงวด มีการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงิน และให้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้กำหนดให้มีการรายงานธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

ในด้านการคุ้มครองผลประโยชน์ของนักลงทุน มีข้อเสนอให้มีการคุ้มครองผลประโยชน์ของนักลงทุนในสถานบันเทิงครบวงจร โดยการให้อำนาจสำนักงานในการทำสัญญาเพื่อเยียวยาในกรณีมีการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายหรือเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้การระงับข้อพิพาทสามารถใช้กลไกอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ

ในประเด็นเรื่องความโปร่งใสและการตรวจสอบ มีข้อเสนอให้ผู้รับใบอนุญาตต้องเปิดเผยรายงานบัญชีของสถานบันเทิงครบวงจรต่อรัฐสภา เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้มีการรายงานผลการดำเนินงานและผลกระทบทางสังคมต่อสาธารณะเป็นประจำทุกปี

ประเด็นเรื่องการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนก็เป็นอีกหัวข้อที่มีการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย โดยมีทั้งฝ่ายที่เห็นว่าควรอนุญาตให้ผู้รับใบอนุญาตสามารถเสนอขายหุ้นต่อประชาชนได้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายฯ แต่ควรจำกัดสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 24.99 เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นแต่ไม่เสียอำนาจในการควบคุมกิจการ ในขณะที่บางความเห็นเสนอให้ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

การกระจายรายได้จากสถานบันเทิงครบวงจรให้ท้องถิ่นเป็นอีกประเด็นที่มีการแสดงความคิดเห็น โดยมีข้อเสนอให้กำหนดให้เงินที่ได้รับจากค่าธรรมเนียมและภาษีเป็นรายได้ของจังหวัด และควรมีการกระจายรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่มีการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร ทั้งนี้ ควรกำหนดสัดส่วนการจัดสรรรายได้ระหว่างรัฐบาลกลางและท้องถิ่นให้ชัดเจน

ด้านมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมที่อาจเกิดขึ้น มีข้อเสนอให้มีการจำกัดการเข้าถึงของคนไทย การให้ความรู้เกี่ยวกับการพนันอย่างรับผิดชอบ การจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือผู้ติดการพนัน การส่งเสริมกิจกรรมทางเลือกที่สร้างสรรค์ในชุมชน การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่โดยรอบสถานบันเทิงครบวงจร และการกำหนดให้มีการศึกษาและติดตามผลกระทบทางสังคมอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้พิจารณายกเว้นการบังคับใช้กฎหมายบางฉบับสำหรับสถานบันเทิงครบวงจร เช่น กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กฎหมายว่าด้วยควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วยควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ และกฎหมายว่าด้วยควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้การดำเนินการของสถานบันเทิงครบวงจรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้แจ้งว่าจะนำผลการรับฟังความคิดเห็นทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ต่อไป โดยจะพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. ให้มีความสมบูรณ์และสอดคล้องกับความต้องการของทุกภาคส่วนมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม การผลักดันร่าง พ.ร.บ. นี้ยังคงเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยฝ่ายสนับสนุนมองว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านเห็นว่าอาจนำมาซึ่งปัญหาสังคม ศีลธรรม และอาชญากรรม ซึ่งคาดว่าจะยังคงมีการอภิปรายและปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. นี้อีกระยะหนึ่งก่อนที่จะมีการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาต่อไป หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลิก

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img