เงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” ตลาดคาดเฟดอาจคงดอกเบี้ยในการประชุมพ.ย.นี้ หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เกาะติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.46 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ sideways up (กรอบการเคลื่อนไหว 33.38-33.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้ว่า เงินดอลลาร์จะแกว่งตัว sideways เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
สำหรับเงินบาทก็เผชิญแรงกดดันบ้าง หลังราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลง เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำ ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังคงร้อนแรงอยู่ อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังคงถูกจำกัดอยู่แถวโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าวบ้าง แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้ก็อาจเปิดโอกาสให้เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องสู่โซนแนวต้านถัดไปแถว 33.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
ขณะที่ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงกดดันบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มกังวลว่า เฟดอาจคงดอกเบี้ย ณ การประชุมเดือนพฤศจิกายน (จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 14% ที่เฟดจะคงดอกเบี้ย) ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น กดดันบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Tesla -3.7%, Amazon -3.1% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ลดลง -1.18% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.96%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.18% โดยแม้ว่าบรรยากาศในตลาดหุ้นยุโรปจะถูกกดดันโดยความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทว่าความกังวลดังกล่าวยังคงหนุนให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นต่อได้ อาทิ Shell +2.3% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นธีม China Recovery อาทิ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม LVMH +2.7% ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันจากแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ เช่นกัน ASML -1.3% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นทะลุระดับ 4.00% หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยล่าสุดจาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 14% ที่เฟดจะคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายน นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ จากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็มีส่วนหนุนการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม และมุมมองของผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ที่ยังคงประเมินแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟด (รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักอื่นๆ) ยังคงหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องชัดเจน ซึ่งเราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดทั้งในปีนี้ และปีหน้า โดยอาจประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ซึ่งอาจต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใส/ดีกว่าคาด รวมถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อาจไม่ได้ชะลอลงชัดเจนนัก
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ sideways โดยเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มเชื่อว่าเฟดอาจคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้ รวมถึงความต้องการถือในช่วงตลาดกังวลปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์ก็ยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ ท่ามกลางแรงขายทำกำไรหรือการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 102.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.3-102.6 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะถูกกดดันบ้างในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น พร้อมกับการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทว่าราคาทองคำก็ยังได้แรงหนุนจากความต้องการถือทองคำ ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้ราคาทองคำยังสามารถรีบาวด์ขึ้นบ้างและแกว่งตัวแถวโซน 2,660-2,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้
สำหรับวันนี้ แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะมีไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบาย หลังล่าสุดรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดไปมาก ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB เช่นกัน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยได้อีกราว -50bps ในปีนี้
ทั้งนี้มองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลาม บานปลาย จนส่งผลกระทบในวงกว้างหรือไม่ โดยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ความขัดแย้งดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง รวมถึงส่งผลกระทบต่อโฟลว์การขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงานมากน้อยเพียงใด
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ ทว่า เงินบาทก็ยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ซึ่งก็สอดคล้องกับมุมมองของเราว่า “ตราบใดที่ราคาทองคำยังมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นได้ จากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง เงินบาทก็อาจไม่สามารถอ่อนค่าลงได้ต่อเนื่องอย่างชัดเจน”
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงรอจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หรือจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินบาทใกล้โซนแนวต้าน ในการทยอยขายทำกำไรสถานะถือครองเงินดอลลาร์ หรือ สถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ส่วนฝั่งผู้ส่งออกก็อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ด้วยเช่นกัน ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ หลังผู้เล่นในตลาดไม่เพียงแต่ปรับลดความคาดหวังต่อการ “เร่งลดดอกเบี้ย” ของเฟด แต่ล่าสุดยังปรับลดความคาดหวังต่อการ “ลดดอกเบี้ย” ของเฟดลงบ้าง ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ กดดันบรรดาสกุลเงินหลัก ไม่ว่าจะเงินยูโร (EUR) เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดหวังนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจาก ECB, BOE
ส่วน BOJ ก็อาจไม่เร่งรีบขึ้นดอกเบี้ย ทว่า เราคงเชื่อว่า ตลาดจะเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility โดยหากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอลงมากกว่าคาด หรือรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงมากขึ้นชัดเจน ก็อาจกดดันให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่าเฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot หรือมากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ซึ่งอาจกดดันให้เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลงได้
นอกเหนือจากแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่อาจพอได้แรงหนุนจากการปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง เรามองว่า เงินบาทก็ยังคงเผชิญแรงกดดันจากแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ โดยในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิหุ้นและบอนด์ไทยไปกว่า -3.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกือบจะใกล้เคียงกับยอดซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยในเดือนกันยายนราว +4 หมื่นบาท
อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.55 บาทต่อดอลลาร์