วันอังคาร, พฤศจิกายน 5, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightกังวลการเมืองดันคนใกล้ชิดนั่งปธ.บอร์ด แบงก์ชาติขาดความอิสระ'ธนาคารกลาง'
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

กังวลการเมืองดันคนใกล้ชิดนั่งปธ.บอร์ด แบงก์ชาติขาดความอิสระ’ธนาคารกลาง’

“สมชัย” อ่านเกมชิงเก้าอี้ปธ.บอร์ดธปท. หวั่นฝ่ายการเมืองดันคนใกล้ชิดมีบทบาทนโยบายการเงิน หลังเห็นต่างจากแบงก์ชาติหลายเรื่อง ห่วงดันแผนใช้เงินสำรองระหว่างประเทศ ตั้งกองทุนนโยบายความมั่นคั่งแห่งชาติ ตลาดขาดความเชื่อมั่นในเรื่องของความเป็นอิสระทางความคิดของธนาคารกลาง

ดร. สมชัย จิตสุชน ผู้อํานวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ในฐานะอดีตคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) เปิดเผยถึงการสรรหาประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (บอร์ดธปท.) คนใหม่ซึ่งเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงผู้ถูกเสนอชื่อที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายการเมืองและมีความเห็นในการดำเนินนโยบายการเงินแตกต่างอย่างมากกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลพยายามจะส่งคนของตัวเองเข้ามาเพื่อให้มีเสียงของตัวเองในบอร์ดธปท.มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาจะเห็นถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างธปท.และรัฐบาลมาตั้งแต่สมัยของรัฐบาลชุดที่แล้ว ทั้งในประเด็นการดำเนินนโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ย รวมถึงเรื่อง ดิจิทัล วอลเล็ตยุคแรกที่มีความเกี่ยวพันกับพ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 ที่ธปท.ดูแลกฎหมายดังกล่าวอยู่

สำหรับกรณีที่หลายฝ่ายมีความกังวลในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากหากบุคคลที่มาเป็นบอร์ดธปท.มีความเห็นพ้องกับรัฐบาลเพราะมีความเชื่อทางนโยบายแบบเดียวกัน จะทำให้โอกาสในการดำเนินนโยบายตามแนวทางที่รัฐบาลต้องการมีสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงิน เรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการดูแลค่าเงินบาท รวมทั้งการใช้เงินสำรองระหว่างประเทศ ที่เคยมีแนวคิดมานานแล้วตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยจนถึงพรรคเพื่อไทยว่า ต้องการนำเงินสำรองระหว่างประเทศไปใช้ โดยการตั้ง กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund)  ซึ่งแนวคิดนี้ได้ถูกคัดค้านจากฝั่ง ธปท.มาโดยตลอดเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แม้การตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติจะประสบความสำเร็จในบางประเทศ และประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศไม่น้อย ซึ่งหากสามารถดำเนินการภายใต้การบริหารจัดการที่ดีได้ ก็จะทำให้เกิดดอกออกผลและเป็นประโยชน์เชิงนโยบายได้ แต่ที่หลายฝ่ายกังวลคือหน้าที่การบริหารกองทุนนี้เป็นของใคร ซึ่งการทำหน้าที่ดังกล่าวจะต้องมีความโปร่งใสและธรรมภิบาลสูงมาก หากเกิดการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง โดยนำคนเข้าไปนั่งบริหารกองทุน ปัญหาก็จะเกิดตามมาอีกเช่นกัน เพราะกองทุนก้อนนี้คือเงินที่เป็นเกราะป้องกันในยามฉุกเฉิน หากนำไปใช้ผิดประเภทหรือใช้จ่ายกับประชานิยมต่างๆก็จะเป็นเงินที่เสียเปล่า

เจตนารมณ์ของกฎหมาย ธปท. ต้องการป้องกันไม่ให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงได้ง่าย

ดร. สมชัย ยังกล่าวถึงความสำคัญของกระบวนการสรรหาและคณะกรรมการสรรหาหรือคัดเลือกคณะกรรมการชุดต่างๆของธปท. ว่า มีความสำคัญอย่างมาก เพราะคณะกรรมการ หรือ บอร์ดชุดต่างๆของธปท.มีคาบเกี่ยวกันทั้งหมด ด้วยเหตุนี้กฎหมายปัจจุบัน จึงกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสรรหาเอาไว้ว่า จะต้องไม่เป็นข้าราชการในปัจจุบัน ชัดเจนว่าเจตนารมณ์คือไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือการตัดสินใจมากจนเกินไป เพราะหากคณะกรรมการสรรหามีความคิดคล้ายกับฝ่ายการเมือง และสรรหาบอร์ดธปท.ที่มีความคิดคล้ายกันเข้ามา ต่อไปเมื่อกนง.ครบวาระในอีก 2 ปีข้างหน้าบอร์ดธปท. ก็จะมีโอกาสคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนง.ในสัดส่วนคนนอกอีก 4 คนด้วย นอกจากนี้ในปี 2568 จะมีการคัดสรรผู้ว่าการธปท.คนใหม่ หากคณะกรรมการคัดสรรมีแนวคิดไปทางเดียวกับฝ่ายการเมืองอีกและเลือกผู้ว่า ธปท. ที่เป็นฝ่ายเดียวกัน ถึงตอนนั้นฝ่ายการเมืองก็จะคุมนโยบายการเงินเบ็ดเสร็จ ดังนั้นผู้ที่จะมาเป็นคณะกรรมการสรรหาก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

“สิ่งนี้เป็นหลักการและสมมุติฐานส่วนตัว ไม่ได้ระบุหรือพาดพิงตัวบุคคลใดๆ ถ้าฝ่ายการเมืองสามารถส่งคนที่มีความคิดคล้ายกันเข้ามาในบอร์ดธปท.ได้ เป็นผลเสียที่รุนแรงมากแน่นอน แต่ถึงขั้นหายนะหรือไม่ ก็ขึ้นกับว่าเมื่อแทรกแซงแล้วคนที่ทางรัฐบาลส่งไปนั่งอยู่ในธปท.ในจุดต่าง ๆ ถึงขั้นที่ว่าจะฟังรัฐบาลอย่างเดียวเลย ไม่ได้มีข้อพิจารณาทางวิชาชีพ หรือหลักวิชาการอะไร อันนี้ถึงขั้นหายนะแน่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะเชื่อว่าแต่ละท่านมีวิจารณญาณระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาพว่าต่อให้ท่านมีวิจารณญาณของท่านเอง แต่เผอิญสิ่งที่ท่านพูดตรงกับรัฐบาลเกือบจะทุกเรื่อง คนอื่นก็มีอาจมองได้ว่าฟังรัฐบาลทุกเรื่อง”

มองให้ไกล นโยบายการเงินต้องเป็นอิสระ  

อย่างไรก็ตาม ความเป็นอิสระของนโยบายการเงินเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างมาก มีงานวิจัยและประสบการณ์จากทั่วโลกในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา พบตรงกันว่าถ้าตลาดขาดความเชื่อมั่นในเรื่องของความเป็นอิสระทางความคิดของธนาคารกลาง ตลาดจะปั่นป่วน ผันผวน และไม่เชื่อใจ ทั้งประเด็นการควบคุมเงินเฟ้อ และวินัยทางด้านการเงินการคลังอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ประเทศสูญเสียความน่าสนใจในการลงทุน และสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปในที่สุด อาจส่งผลให้เงินทุนไหลออก ซึ่งจะกระทบภาพรวมเศรษฐกิจในที่สุด

“อยากให้มองไกล และมองกว้าง อย่าไปให้ความสําคัญกับประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะหน้ามากเกินไป อะไรที่ทำให้เกิดผลเสียในระยะยาวต้องหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปสร้างภาพว่านโยบายการเงินถูกแทรกแซงได้อันนั้นเป็นเรื่องที่สําคัญมาก ไม่ควรจะให้เกิดขึ้น ส่วนที่มีการพูดกันว่าทั้งฝ่ายการเมืองและธปท.เองจะต้องปรับแนวคิดทั้งสองฝั่งเพื่อให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นนั้น ส่วนตัวเห็นว่าข้อถกเถียงที่ผ่านมาเป็นเรื่องของหลักการ เพราะหลักการของทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน ฝั่งหนึ่งมองระยะยาว ฝั่งหนึ่งมองระยะสั้น ก็เลยทําให้ยาก แต่หากทั้งสองฝั่งให้ความสำคัญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวที่เหลือคุยกันง่าย” ดร.สมชัยระบุ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img