วันพฤหัสบดี, เมษายน 10, 2025
หน้าแรกHighlight‘ปลัดแรงงาน’แจงปรับเพดาน‘เงินสมทบ’ เข้ากองทุนม.33อ้างสอดคล้องเศรษฐกิจ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ปลัดแรงงาน’แจงปรับเพดาน‘เงินสมทบ’ เข้ากองทุนม.33อ้างสอดคล้องเศรษฐกิจ

ปลัดกระทรวงแรงงานออกโรงชี้แจงปรับเพดานเงินสมทบจัดเก็บเข้ากองทุนประกันสังคมผู้ประกันตนมาตรา 33 ใหม่เป็นแบบขั้นบันได อ้างเพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน-ได้สิทธิประโยชน์เพิ่ม

นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์  ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีประกันสังคมมีแผนปรับเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33ว่า ในปี 2534 ที่ผ่านมาเงินสมทบจัดเก็บเข้ากองทุนประกันสังคมได้กำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้คำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 ไว้ไม่เกิน 15,000 บาท  ซึ่งถือว่าจ่ายเงินสมทบประกันสังคมในกรอบที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ และสังคม เนื่องจากช่วงเวลานั้นค่าแรง ค่าครองชีพไม่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน และไม่เคยมีการปรับปรุงจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้นจะมีการปรับปรุงเพดานค่าจ้าง เงินสมทบประกันสังคม เป็นแบบขั้นบันได 3 ขั้น เพื่อไม่ให้กระทบนายจ้างและผู้ประกันตน จากเดิม 15,000 บาทเป็นสูงสุด 17,500 บาท ในปี 2569-2571 และปี 2572-2574 สูงสุด 20,000 บาท และตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป สูงสุด 23,000 บาท

โดยขณะนี้ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น  เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา ผู้บริหารกระทรวงแรงงานและผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้แทนสภาองค์การนายจ้าง -องค์การลูกจ้าง ผู้แทนจากพรรคการเมือง นายจ้างและลูกจ้างทั่วไป และผู้แทนสื่อมวลชน ผ่านช่องทางเว็บไซต์ ระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) ตั้งแต่วันที่ 1-15 ธันวาคม 2567 และ ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่และสำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา รวมถึงการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมาจนถึง 31 ธันวาคม 2567

ขณะนี้มีผู้แสดงความคิดเห็นเข้ามาแล้วมากกว่า 250,000 ราย และก่อนหน้านี้ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทั่วประเทศแล้ว ส่วนใหญ่มีความเห็นว่ากฎหมายใช้มานานกว่า 30 ปี ควรปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตน หลังจากเสร็จสิ้นการรับฟังความคิดเห็น จะมีการรวบรวมความคิดเห็นทั้งหมด เพื่อนำเสนอคณะกรรมการประกันสังคม เพื่อพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย เพื่อพัฒนาสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนให้มีเพิ่มขึ้นในอนาคต

นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคม ได้ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ที่ไม่ได้อิงกับฐานเพดานค่าจ้างให้แก่ผู้ประกันตนตลอดมา เพื่อความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ เช่น กรณีคลอดบุตรในปี 2538 ได้รับสิทธิประโยชน์ 4,000 บาทต่อครั้ง ปัจจุบัน 15,000 บาทต่อครั้ง

เงินสงเคราะห์บุตร ปี 2541 ได้รับ 150 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คนสูงสุด 2 คน ปัจจุบัน  800 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน สูงสุด 3 คน และกรณีเสียชีวิต เงินค่าทำศพ ในปี 2538 จ่ายเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท ปัจจุบัน 50,000 บาท เป็นต้น 

ส่วนสิทธิประโยชน์ที่อิงกับฐานเพดานค่าจ้าง ทั้งเงินทดแทนการขาดรายได้ กรณีเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีว่างงาน เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต และเงินบำเหน็จ บำนาญชราภาพนั้น เมื่อไม่มีการปรับฐานเพดานค่าจ้าง ทำให้ผู้ที่มีค่าจ้างมากกว่า 15,000 บาท ถูกจำกัดสิทธิประโยชน์ไว้ และไม่สอดคล้องกับค่าจ้างจริงในปัจจุบัน จึงสมควรปรับปรุงฐานเพดานค่าจ้างให้เหมาะสม ให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ

ในปี 2567 เพดานค่าจ้างสูงสุด 15,000 บาท จ่ายเงินสมทบประกันสังคมสูงสุด 750 บาทต่อเดือน สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ 6 กรณี คือ

1.เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 7,500 บาทต่อเดือน (250 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 45,000 บาท)

2.เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 22,500 บาทต่อครั้ง

3.เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 7,500 บาทต่อเดือน

4.เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 90,000 บาท

5.เงินทดแทนกรณีว่างงาน 7,500 บาทต่อเดือน

6.เงินบำนาญ กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 3,000 บาทต่อเดือน ส่วนกรณีส่งเงินสมทบ 25 ปี 5,250 บาทต่อเดือน

แต่เมื่อมีการปรับเพดานค่าจ้างเพิ่มขึ้น สิทธิประโยชน์ 6 กรณีจะเพิ่มขึ้นด้วย โดยปี 2569-2571 ที่จะมีการปรับเป็นค่าจ้าง 17,500 บาท จ่ายเงินสมทบประกันสังคมสูงสุด 875 บาทต่อเดือน

1. เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 8,750 บาทต่อเดือน (291 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 52,500 บาท)

2. เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 26,250 บาทต่อครั้ง

3. เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 8,750 บาทต่อเดือน

4. เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 105,000 บาท

5. เงินทดแทนกรณีว่างงาน 8,750 บาทต่อเดือน

6. เงินบำนาญ กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 3,500 บาทต่อเดือน ส่วนกรณีส่งเงินสมทบ 25 ปี 6,125 บาทต่อเดือน

ปี 2572-2574 ที่จะมีการปรับเป็นค่าจ้าง 20,000 บาท จ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน

1. เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 10,000 บาทต่อเดือน (333 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 60,000 บาท)

2. เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 30,000 บาทต่อครั้ง

3. เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 10,000 บาทต่อเดือน

4. เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 120,000 บาท

5. เงินทดแทนกรณีว่างงาน 10,000 บาทต่อเดือน

6. เงินบำนาญ กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 4,000 บาทต่อเดือน ส่วนกรณีส่งเงินสมทบ 25 ปี 7,000 บาทต่อเดือน

ปี 2575 เป็นต้นไป ที่จะมีการปรับเป็นค่าจ้าง 23,000 บาท จ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน

1. เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 11,500 บาทต่อเดือน (383 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 69,000 บาท)

2. เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 34,500 บาทต่อครั้ง

3. เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 11,500 บาทต่อเดือน

4. เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 138,000 บาท

5. เงินทดแทนกรณีว่างงาน 11,500 บาทต่อเดือน

6. เงินบำนาญ กรณีส่งเงินสมทบ 15 ปี 4,600 บาทต่อเดือน ส่วนกรณีส่งเงินสมทบ 25 ปี 8,050 บาทต่อเดือน

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img