ธปท.เปิดเผยข้อมูลผลการประชุมกนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% เป็นผลจากเศรษฐกิจไทยโต 2.5% ซึ่งต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ จากภาคการผลิตที่ยังถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้าง-การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น-ผลกระทบนโยบายทรัมป์ 2.0
รายงานข่าวจากธนาคารแหู่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า ธปท.ได้เปิดเผยข้อมูลขผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ (กนง.)เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 2.5 เล็กน้อย ซึ่งต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ จากภาคการผลิตที่ยังถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น รวมถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้แล้ว โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ
ขณะที่ภาคบริการและท่องเที่ยวยังขยายตัวได้เศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วนขยายตัวแตกต่างกันมากขึ้น (K-shape) โดยภาคบริการมีแนวโน้มขยายตัวดีโดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ส่วนภาคการผลิตกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยี ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับยานยนต์ และภาคอสังหาริมทรัพย์มีพัฒนาการแย่ลง โดยการผลิตรถยนต์ถูกกดดันจากการแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กาลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ และสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกบ้างจากราคารถยนต์มือสองที่เริ่มทรงตัว
ด้านภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มชะลอตัวจากกำลังซื้อในประเทศที่ลดลง โดยสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเนื่องจากสัดส่วนการผิดนัดชาระหนี้ที่ปรับสูงขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มรายได้ต่ำถึงปานกลาง จึงต้องติดตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะรายเล็กที่มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่องและการปรับตัว รวมถึงผู้รับเหมาก่อสร้างที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SMEs เพื่อประเมินภาพอย่างใกล้ชิด
คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า จากภาคการผลิตที่ถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ผลกระทบที่อาจรุนแรงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก และภาวะการเงินของธุรกิจและครัวเรือนบางส่วนที่ตึงตัว ขณะที่กรรมการบางท่านเห็นว่าเศรษฐกิจอาจมีความเสี่ยงมากกว่าที่ฝ่ายเลขานุการฯ ประเมินไว้ โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และภาคอสังหาริมทรัพย์อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งก่อนจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568สะท้อนจากการใช้กาลังการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่อยู่ในระดับต่ำและอุปทานคงค้างระดับสูงในภาคอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ภาคการผลิตในหลายอุตสาหกรรมเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่เผชิญความท้าทายในการปรับตัวและมีข้อจ ากัดในการเข้าถึงสินเชื่อรวมทั้งการแข่งขันที่อาจสูงขึ้นอีกในระยะต่อไป กรรมการบางส่วนแสดงความกังวลว่าภาคบริการและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก (growth driver) อาจสนับสนุนเศรษฐกิจได้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวชะลอลงตามพฤติกรรมการใช้จ่ายและโครงสร้างของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคท่องเที่ยวไทยในระยะยาว
ทั้งนี้คณะกรรมการฯ เห็นร่วมกันว่าเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวชะลอลงมีสาเหตุสาคัญมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
ซึ่งจำเป็นต้องใช้นโยบายปรับโครงสร้างด้านอุปทานเพื่อยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เช่น
การลงทุนใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน และการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อช่วยในการปรับตัว
สำหรับเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ (demand side) มีแนวโน้มขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน โดยการบริโภคของกลุ่มผู้มีรายได้สูงยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้ต ่าถึงปานกลางยังถูกกดดันจากการขยายตัวของรายได้ที่ไม่ทั่วถึงและภาวะสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ชะลอลง กรรมการบางส่วนให้ความเห็นว่าการบริโภคภาคเอกชนที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนโดยครัวเรือนกลุ่มรายได้ปานกลางและสูง แต่ครัวเรือนกลุ่มดังกล่าวอาจระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นในระยะต่อไป ตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและปัจจัย
ด้านความมั่งคั่งที่ลดลง (wealth effect) ตามมูลค่าของตลาดหุ้นไทย ด้านการส่งออกสินค้าคาดว่าจะ
ขยายตัวได้จากสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าเกษตรแปรรูปเป็นหลัก สาหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้ม
ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่มูลค่ารวมอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะ
ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และ data center
ทั้งนี้ กรรมการบางส่วนให้ความเห็นว่าต้องติดตามการสร้างมูลค่าเพิ่มของการส่งออกสินค้าและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เนื่องจากการสร้างมูลค่าเพิ่มมีแนวโน้มลดลงเทียบกับอดีต ส่วนหนึ่งจากการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำซึ่งรวมถึงกรณีของ data center อีกทั้งมีการน าเข้าปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศ (import content) เพิ่มขึ้น
มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยอาจได้รับ
ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่จะออกมาเพิ่มเติม เช่น 1. มาตรการขึ้นภาษีนาเข้าโดยตรงราย
ประเทศ ซึ่งไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจถูกสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีจากการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่าง
ต่อเนื่อง และ 2. มาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ที่อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตร
และอาหารแปรรูปของไทยที่มีส่วนต่างภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูงทั้งในมิติรูปแบบและช่วงเวลา รวมทั้งการตอบโต้
ของประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น โดยฉากทัศน์ที่สหรัฐฯ เก็บภาษีน าเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นรวมเป็นร้อยละ 30
และประเทศกลุ่มเสี่ยงรวมถึงไทยถูกเก็บภาษีนาเข้าสินค้าร้อยละ 10 การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจปรับลดลง
จากกรณีฐานประมาณร้อยละ 0.3-0.5 โดยประเมินว่าจะได้รับผลกระทบในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ผ่าน
ช่องทาง 1.การส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐฯ โดยตรงลดลง 2. การส่งออกสินค้าขั้นกลางของไทยไปจีน
ลดลง และ 3. ปัญหาการแข่งขันกับอุปทานส่วนเกินของจีนทั้งในตลาดส่งออกและตลาดในประเทศที่รุนแรง
ขึ้น อย่างไรก็ดี การประเมินผลในฉากทัศน์นี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง และผลกระทบอาจรุนแรงขึ้นหากมี
มาตรการตอบโต้ทางการค้าเพิ่มเติม
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยอัตรา
เงินเฟ้อทั่วไปมีโอกาสต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในบางช่วงเวลา จากอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานมีแนวโน้มปรับ
ลดลงตามราคาน ้ามันดิบในตลาดโลก รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้นจากสินค้า
นำเข้า
ทั้งนี้ยังไม่เห็นสัญญาณนำไปสู่ภาวะเงินฝืดหรือภาวะที่เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง เพราะ1. พลวัตเงินเฟ้อ
มาจากปัจจัยด้านอุปทานมากกว่าด้านอุปสงค์ โดยปัจจัยด้านอุปทาน อาทิ ราคาน ้ามันโลกที่ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น
ต่อเนื่อง และสภาพอากาศที่เอื้ออ านวยต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยราคาสินค้าในหมวดพลังงานและ
อาหารสดส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปใน 12 เดือนที่ผ่านมาเพียงร้อยละ 0.2 ซึ่งต ่ากว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปี
ก่อนหน้าที่ร้อยละ 1.0
2. ราคาสินค้าและบริการไม่ได้ปรับลดลงในวงกว้าง โดยราคาสินค้าและบริการกว่า3 ใน 4 ของตะกร้าเงินเฟ้อยังเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง 3. อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังทรงตัวในกรอบเป้าหมาย มองไปข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงด้านต ่าตามแนวโน้มราคาพลังงานโลกจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจต่ำกว่าคาด แนวโน้มราคาอาหารสดที่อาจต่ำกว่าคาดจากสภาพอากาศที่เอื้ออานวย และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐที่อาจมีเพิ่มเติม
คณะกรรมการฯ เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ทรงตัวใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมายไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและไม่ได้ส่งสัญญาณภาวะเงินฝืด อีกทั้งยังมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มที่รายได้ฟื้นตัวได้ช้าหลังจากที่เงินเฟ้อได้เร่งขึ้นไปในช่วงก่อนหน้า โดยกรรมการบางส่วนให้ความเห็นว่าก าลังการผลิตส่วนเกิน (overcapacity) ของจีน และการแสวงหาตลาดใหม่ของประเทศต่าง ๆ ที่ถูกปรับขึ้นภาษี
การค้า อาจทาให้มีสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันกับผู้ประกอบการไทยมากขึ้น ซึ่งจะกดดันภาคการผลิตและระดับราคาสินค้าของไทยเพิ่มเติมในระยะข้างหน้าการประเมินภาวะการเงินและเสถียรภาพระบบการเงิน
ภาวะการเงินยังตึงตัวจากสินเชื่อที่ชะลอลง แม้การขยายตัวและคุณภาพของสินเชื่อในภาพรวมเริ่มมีสัญญาณทรงตัวบ้าง โดยการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจมาจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่สินเชื่อธุรกิจSMEs โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างยังหดตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ สภาพคล่องเพื่อดำเนินธุรกิจของ SMEs ถูกกดดันเพิ่มเติมจากสินเชื่อการค้า (trade credit) ที่แย่ลง โดย SMEs ส่วนใหญ่ประสบปัญหาระยะเวลารับช าระเงินจากลูกหนี้การค้า (credit term) ที่ยาวขึ้น ด้านสินเชื่ออุปโภคบริโภคยังปรับลดลง ส่วนหนึ่งจากครัวเรือนที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และมีภาระหนี้สูง ทั้งนี้ ยังต้องติดตามแนวโน้มการขยายตัวและคุณภาพสินเชื่อในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง
สำหรับการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ (household debt deleveraging) ยังคงดาเนินไปต่อเนื่อง
ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวคณะกรรมการฯ แสดงความกังวลในประเด็นสินเชื่อที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน จึงเห็นควรให้ติดตามการขยายตัวและคุณภาพของสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคอย่างใกล้ชิด โดยกรรมการบางท่านตั้งข้อสังเกตว่าการกลับมาขยายตัวของสินเชื่อในช่วงปลายปี อาจมาจากปัจจัยเฉพาะจากการที่สถาบันการเงินเร่งปล่อยสินเชื่อให้ถึงเป้าหมาย รวมทั้งคุณภาพสินเชื่อที่ปรับดีขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขายหนี้เสียและตัดหนี้สูญของสถาบันการเงินในช่วงปลายปี นอกจากนี้ กรรมการส่วนหนึ่งแสดงความกังวลต่อการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อกลุ่มรายได้ต ่าที่อาจเริ่มลุกลามมายังกลุ่มรายได้ที่สูงขึ้น
รวมถึงคุณภาพสินเชื่อที่ปรับแย่ลงอาจส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นได้โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงข้อมูลล่าสุดว่าเริ่มเห็นสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินสูงขึ้น จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
ราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินโลกรวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ สรอ. เคลื่อนไหวผันผวนจากความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจและการด าเนินนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างไรก็ดี หลังตลาดการเงินประเมินว่านโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจไม่รุนแรงเท่าที่คาดไว้ ราคาสินทรัพย์เสี่ยงจึงปรับเพิ่มขึ้น และเงินดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่า ค่าเงินบาทปรับแข็งขึ้นจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยเฉพาะของไทยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในบางจังหวะ การระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนโดยรวมยังดาเนินการได้ตามปกติ แต่ต้องติดตามความเสี่ยงของการระดมทุนทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกาหนดไถ่ถอนได้ไม่เต็มจานวน (rollover risk) ของผู้ออกตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ด้านดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับลดลง
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินโลกที่อาจส่งผลต่อตลาดการเงินไทยและความผันผวนของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดการพิจารณานโยบายการเงิน
- คณะกรรมการฯ ประเมินว่าสมดุลของความเสี่ยง (balance of risks) ของนโยบายการเงินโน้มไปด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดย (1) เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต ่ากว่าที่ประเมินไว้อย่างมีนัย และมีความเสี่ยงด้านต ่าเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก (2) ภาวะการเงินยังตึงตัวขณะที่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวปรับลดลง โดยกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ที่ดาเนินต่อเนื่อง และ (3) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทรงตัวอยู่ใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมาย
- กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้เป็นทางเลือกที่เหมาะสม โดยกรรมการได้อภิปรายและมีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้
▪ กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้เป็นการเริ่มต้นวัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (easing cycle) นอกจากนี้ กรรมการบางท่านมีความเห็นเพิ่มเติมว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้มีส่วนช่วยรองรับ กรณีที่เศรษฐกิจขยายตัวต ่ากว่าคาดในระยะข้างหน้า
▪ กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้จะช่วยลดทอนความตึงตัวของภาวะการเงิน ซึ่งสะท้อนจากปริมาณสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินและการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ที่ชะลอตัว ขณะที่ไม่ได้สร้างต้นทุนความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวมากนัก โดยกรรมการบางท่านเห็นเพิ่มเติมว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยประคับประคองเศรษฐกิจผ่านการบรรเทาภาระหนี้และเอื้อต่อการปรับตัวของธุรกิจ โดยสอดประสานกับมาตรการเฉพาะจุด เช่น มาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ที่มีบทบาทส าคัญในการช่วยลดภาระของลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง
▪ กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.00 ต่อปี เป็นระดับที่นโยบายการเงินยังมีขีดความสามารถ (policy space) เพียงพอในการรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
▪ กรรมการบางท่านเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลงมาที่ร้อยละ 2.00 ต่อปีเป็นระดับที่สามารถรองรับความไม่แน่นอนข้างหน้าได้ระดับหนึ่ง (robust policy) โดยไม่ต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมหากเศรษฐกิจไม่ได้เผชิญ shocks ที่รุนแรงกว่าคาด - กรรมการหนึ่งท่านเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี เนื่องจากให้น้ำหนักมากกว่ากับการรักษา policy space เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นในระยะข้างหน้า โดยเห็นว่าการปรับนโยบายการเงินในจังหวะที่เหมาะสมจะรองรับ shocks ได้อย่างมีประสิทธิผล อีกทั้งนโยบายการเงินของไทยมี policy space จากัดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น สาหรับแนวโน้มเศรษฐกิจกรรมการท่านนี้เห็นพ้องกับกรรมการท่านอื่นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่เคยประเมินไว้จากภาคการผลิตที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นหลัก ขณะที่อุปสงค์ในภาพรวมยังขยายตัวดี
สะท้อนจากข้อมูลเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ที่การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้ และมองว่านโยบายการเงินเป็นเครื่องมือบริหารจัดการด้านอุปสงค์ (demandmanagement) เป็นหลัก และมีประสิทธิผลจ ากัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในบริบทเศรษฐกิจปัจจุบัน - คณะกรรมการฯ เห็นร่วมกันว่าเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวชะลอลงมีสาเหตุสาคัญมาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งจาเป็นต้องใช้นโยบายปรับโครงสร้างด้านอุปทานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและขีดความสามารถของอุตสาหกรรม จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวและยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนการตัดสินนโยบายคณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.00 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 1 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
- กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีความเหมาะสมในการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้ภาวะ
การเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้ อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งรองรับความเสี่ยงด้านต่ำที่ชัดเจนขึ้น ในขณะที่กรรมการ 1 ท่าน เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากให้น้ำหนักมากกว่ากับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลักที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย