“ขัตติยา” เผยงบไตรมาส 1/68 กสิกรไทยฟันกำไรสุทธิ จำนวน 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.08% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ชี้ปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศที่มีความเสี่ยงสูงเน้นดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานสําหรับไตรมาส 1/68 จำนวน 13,791ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/67 จํานวน 3,023 ล้านบาท หรือ 28.08% และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจำนวน 147 ล้านบาท หรือ 1.08% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
โดยรายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินลงทุนและธุรกรรมเพื่อค้า เพิ่มขึ้นจำนวน 861 ล้านบาท หรือ 11.80% ส่วนหนึ่งเกิดจากการ เพิ่มขึ้นของปริมาณเงินลงทุนเฉลี่ย รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 35,425 ล้านบาท ลดลงจำนวน 2,761 ล้านบาท หรือ 7.23% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย รายได้ดอกเบี้ย รับจากเงินให้สินเชื่อ ลดลงจำนวน 4,133 ล้านบาท หรือ 11.60% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย
ทั้งนี้หากเทียบกับไตรมาส 4/67 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 35,425 ล้านบาท ลดลง 573 ล้านบาท หรือ 1.59% ส่วนใหญเ่กิดจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย รายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินให้สินเชื่อลดลงจำนวน 1,130 ล้านบาท หรือ 3.46% ส่วนใหญ่เกิดจากจำนวน และอัตรา ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ลดลง สอดคล้องกับการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีการปรับลดในช่วงปลายเดือนก.พ. ที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจาฝากเงินรับฝากลดลงจาํนวน 311 ล้านบาท หรือ 6.58% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/ 68 ขยายตัวในกรอบจำกัด แม้การส่งออกสินค้าจะขยายตัวสูงจากผลของการเร่งส่งออกก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนกลับไม่ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่ เพราะปัญหาเชิงโครงสร้าง การแข่งขันสูง และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
สำหรับในปี 2568 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่าปีก่อน โดยนอกจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวช่วงปลายเดือนมีนาคมจะมีผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างแล้ว การปรับขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ยังมีผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยหลายรายการ ซึ่งความตึงเครียดของสงครามการค้าจากการปรับขึ้นของภาษีตอบโต้นับเป็นความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่มาตรการของภาครัฐอาจช่วยประคองเศรษฐกิจได้เพียงบางส่วน เนื่องจากการใช้จ่ายในประเทศยังถูกกดดันจากฐานะทางการเงินที่เปราะบางและภาระหนี้ของภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
ท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบต่อลูกค้าผู้ฝากเงิน ผู้ลงทุน การดูแลช่วยเหลือลูกค้าในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ทั้งการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม การให้ความร่วมมือผ่านโครงการภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถดำเนินชีวิต และธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนการส่งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น ผ่านการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่องภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งของธนาคารได้ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่สอดคล้องกับแนวทางสากล โดยมีผลต่อการรับรู้ และการจัดประเภทรายการในงบการเงินเพื่อให้ข้อมูลทางการเงินสะท้อนมูลค่าทางการเงินของกิจการได้ดียิ่งขึ้น งบการเงินรวมปี 2567 ได้มีการปรับปรุงใหม่เสมือนได้นำมาตรฐานฯ ฉบับดังกล่าว มาถือปฏิบัติย้อนหลังเพื่อให้ข้อมูลสามารถเปรียบเทียบกันได้ ทั้งนี้ การนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินดังกล่าวมาใช้ไม่มีผลกระทบอย่างมีสาระสำคัญต่องบการเงินรวมของธนาคารและบริษัทย่อย
ณ วันที่ 31 มี.ค.68 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,355,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจำนวน14,258 ล้านบาท หรือ 0.33% เมื่อเทียบกับ ณ สิ้น ธ.ค.67 ที่ปรับปรุงใหม่ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนสุทธิ ซึ่งเป็นการลงทุนตามการคาดการณ์ภาวะตลาด และทิศทางอัตราดอกเบี้ยอย่างไรก็ตาม เงินให้สินเชื่อสุทธิลดลง เป็นไปตามีภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวโดยธนาคารยังคงมุ่งเน้น การขยายสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินทรัพย์และการเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงให้เหมาะสม ทั้งนี้เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) อยู่ที่ระดับ3.19% และค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 159.49% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิั้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 20.52%