“ทักษิณ” ฟาดเดือด! วิจารณ์ยุทธศาสตร์ยาเสพติดไทย “ต่างคนต่างทำ” ชี้ “ศุลกากร” เกียร์ว่าง ซัดงบ กอ.รมน. 7 พันล้าน “ยุบไปเหอะถ้าไม่ทำ”
เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี/ที่ปรึกษาประธานอาเซียน ขึ้นเวทีปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมอง และความท้าทายต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน” ในการประชุมคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ณ สำนักงาน ป.ป.ส. โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม, นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริยะเดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และพล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. เข้าร่วมอย่างคับคั่ง ดร.ทักษิณ ฟาดเดือดวิจารณ์การทำงานปราบปรามยาเสพติดของไทยว่า “ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ” ไร้การบูรณาการ ชี้เป้า “ศุลกากร” เกียร์ว่าง ไม่ตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์นำเข้า พร้อมเหน็บงบประมาณ กอ.รมน. กว่า 7 พันล้านบาท หากไม่ปราบปรามให้เข้มแข็งก็ “ยุบไปเสียเถอะ”
ดร.ทักษิณ เริ่มต้นปาฐกถาโดยกล่าวถึงความห่วงใยต่อปัญหายาเสพติดว่าเป็นภัยคุกคามที่ทำลายอนาคตของลูกหลาน โดยเฉพาะผลกระทบต่อสมองส่วนหน้าของเด็กและเยาวชน พร้อมย้ำว่าหากเอาจริงเอาจัง “มันไม่มีอะไรเกินมือและสมองเรา”
อดีตนายกฯ วิจารณ์การทำงานของหน่วยงานราชการไทยว่ามีลักษณะ “ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ” ขาดเจ้าภาพที่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม แม้จะมีการใช้งบประมาณและกำลังคนจำนวนมาก พร้อมเผยว่าตนอึดอัดใจมานาน อยากจะพูดเรื่องนี้ เพราะชาวบ้านบอกว่าเรื่องเศรษฐกิจรอได้ แต่เรื่องยาเสพติดรอไม่ไหว โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์เด็กติดยาคลุ้มคลั่งทำร้ายบุพการีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งตนได้สั่งการให้ “ลุย” ทันที
ดร.ทักษิณ ชี้ว่าสถานการณ์ยาเสพติดในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันมาก ในอดีตพ่อค้ารายใหญ่อยู่ในไทย การผลิตอยู่นอกประเทศ แต่ปัจจุบัน การผลิตยาเสพติด 100% อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ ว้าแดง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญ พร้อมระบุว่า พ่อค้ารายใหญ่ส่วนมากหลบหนีไปต่างประเทศ แต่ยังมีเครือข่ายอยู่ในไทย และเชื่อว่าไม่มีใครในชุมชนไม่รู้ว่าใครคือพ่อค้ายา เว้นแต่เจ้าหน้าที่จะ “แกล้งไม่รู้” จึงต้องเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานมี “ใจ” ที่จะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
อดีตนายกฯ ยังกล่าวถึงปัญหาที่หน่วยงานกว่า 29 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดว่า “มันเยอะไปหรือไม่ มันกระจายมากไปหรือไม่” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพราะ “งบประมาณที่มันหอมหวาน” โดยเสนอให้ลดจำนวนหน่วยงานลง ให้เหลือเพียง ตำรวจ ทหาร มหาดไทย และ ศุลกากร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันยาเสพติดที่เข้ามาจากชายแดนหรือผ่านตู้คอนเทนเนอร์กว่า 6 ล้านตู้ต่อปี พร้อมตั้งคำถามเชิงเหน็บแนมถึงการทำงานของศุลกากรว่า “เครื่องเอกซเรย์อาจไม่พอ แล้วก็มีการเปิดตู้บ้างไม่เปิดตู้บ้าง ตั้งใจไม่เปิดตู้ก็มี หรือถ้าตู้ละหมื่นก็ไม่ต้องเปิดตู้” ชี้ว่าศุลกากรเป็นช่องทางสำคัญในการนำของผิดกฎหมายเข้าประเทศ
ดร.ทักษิณ วิจารณ์ระบบราชการไทยว่า “ทำไม่ได้ แย่ ถอยหลัง” ขาดเป้าหมายและ KPI ที่ชัดเจน พร้อมเสนอให้ฟื้นฟูระบบการบริหารองค์กร ไม่ใช่แค่การทำธุรการให้เสร็จไปวันๆ
ในส่วนของการแก้ไขปัญหา ดร.ทักษิณ ย้ำถึงความจำเป็นในการขอความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการจัดการแหล่งผลิตยาเสพติดในว้าแดง และเสนอให้รัฐมนตรีต่างประเทศเดินสายพูดคุยเพื่อ “ผนึกกำลัง” หากประเทศเพื่อนบ้านจัดการไม่ได้ และยังคงผลิตยาเสพติด “คุณคือศัตรูของไทย” และเราควร “ขออนุญาตจัดการเอง” ด้วยวิธีการที่สากลยอมรับได้ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้มีการ “ซีลชายแดน” ปราบปรามการลักลอบขนส่งยาเสพติด ค้าอาวุธ น้ำมันเถื่อน และสแกมเมอร์ โดยต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย และให้ศุลกากร “อย่าเกียร์ว่าง”
อดีตนายกฯ ยังเน้นย้ำถึงการแก้ไขปัญหาระดับชุมชน โดยเสนอให้ “เอกซเรย์ทุกตารางนิ้ว” และตำรวจกับฝ่ายปกครองต้อง “เป็นปาท่องโก๋ไปด้วยกัน” เพื่อ “ขับไล่พ่อค้ายาเสพติดออกจากหมู่บ้านให้ได้” พร้อมเสนอแนวคิดส่วนตัวว่า “จะขออนุญาตนายกฯ เพราะช่วงนี้ว่างงาน แก่แล้ว อยากแวะดูชุมชนหมู่บ้านว่ามีที่ไหนมีพ่อค้ายาบ้าง มีบ้านหลังใหญ่ไหม อยู่สบายไหม ถ้าเจอ ตนจะได้ฟ้อง รมว.มหาดไทย และ ผบ.ตร.”
ดร.ทักษิณ ยังตั้งคำถามถึงบทบาทของ กอ.รมน. ที่มีงบประมาณกว่า 7,000 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหายาเสพติดและภาคใต้ได้อย่างเข้มแข็ง หากยังเป็นเช่นนี้ “ควรจะยุบ กอ.รมน. ทิ้งไปหรือไม่”
ในเรื่องการบำบัดผู้เสพ ดร.ทักษิณ เสนอให้จัดตั้ง ศูนย์บำบัดทุกอำเภอ โดยใช้ค่ายทหารหรือสถานที่ราชการที่หัวหน้าส่วนราชการเต็มใจให้ใช้ ซึ่งจะใช้งบประมาณไม่มากนัก และจะช่วย “คลีนชุมชน” ไปพร้อมกัน พร้อมยกตัวอย่างที่น่าตกใจว่าปัจจุบันยาเสพติดได้แพร่ระบาดไปถึงระดับ นายก อบต. โดยมีกรณีที่นายอำเภอตรวจพบว่านายก อบต. 8 ใน 12 คนมีฉี่ม่วง
อดีตนายกฯ ยังฝากถึงกระทรวงสาธารณสุขให้เน้นการบำบัดผู้ป่วยติดยาอย่างจริงจัง และให้ความรู้กับเด็กเกี่ยวกับการผสมยาเสพติดในรูปแบบต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง พร้อมเตือนเรื่อง กัญชาเสรี ว่าต้องมีกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจากการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ และเปรียบเทียบว่า “ความโลภ โกรธ หลง ทำให้คนโง่ แต่คนพวกนี้ไม่ได้โง่เพราะโง่ แต่โง่เพราะความมีกิเลส”
ท้ายที่สุด ดร.ทักษิณ เรียกร้องให้ทุกส่วนราชการร่วมมือกันอย่างจริงจัง “เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” และอย่าให้ประเพณี “ไม่ทำไม่ผิด” ฝังอยู่ในระบบราชการอีกต่อไป พร้อมย้ำว่าภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ “ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” หากได้รับการสนับสนุนและทำงานอย่างต่อเนื่อง