วันศุกร์, พฤษภาคม 30, 2025
หน้าแรกHighlight‘พาณิชย์’เตือนระวัง 6 ปัจจัยเสี่ยงกระทบ ส่งออก-นำเข้าไทยแนะต้องจับตาใกล้ชิด
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘พาณิชย์’เตือนระวัง 6 ปัจจัยเสี่ยงกระทบ ส่งออก-นำเข้าไทยแนะต้องจับตาใกล้ชิด

“พูนพงษ์” เผยส่งออก-นำเข้าเดือนพ.ค.แนวโน้มชะลอตัวลง จาก 6 ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาใกล้ชิด ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก-ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ-ความผันผวนของค่าเงินบาท

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า เดือนพฤษภาคม คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงเป็นผลมาจาก 6 ปัจจัยหลักคือ 1.การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3.ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ 4.ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มยังมีทิศทางลดลง จากปัญหาอุปทานส่วนเกิน 5.การแข่งขันทางด้านราคามีแนวโน้มสูงขึ้น และ 6.ความผันผวนของค่าเงินบาท

ขณะที่ปัจจัยบวกสนับสนุนให้ดัชนีราคาส่งออกและดัชนีราคานำเข้ายังคงขยายตัว ได้แก่ 1.ฐานราคาปี 2567 ในช่วงครึ่งปีแรก ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2568 2.การเร่งนำเข้าสินค้าไทยจากประเทศคู่ค้า ก่อนจะมีการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เต็มรูปแบบ ทำให้มีความต้องการสินค้าในระยะสั้นเพิ่มขึ้น 3.สินค้าเกษตรแปรรูปส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 4.สินค้าอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียังขยายตัว และ 5.ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น

ส่วนดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนเมษายนที่ผ่านมาอยู่ที่ 110.9 เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เนื่องจากอยู่ในช่วงการเร่งส่งออก ก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ประกอบกับการนำเข้าสินค้าขยายตัวต่อเนื่อง เพื่อนำมาผลิตสำหรับส่งออก อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า

โดยราคาสินค้าเกษตรสำคัญ และสินค้าเชื้อเพลิงปรับลดลง จากอุปทานในตลาดที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทำให้ความต้องการสินค้าชะลอลง อย่างไรก็ตาม หมวดสินค้าที่ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้น 1.6% ได้แก่ ทองคำ ตามความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งทาง ภูมิรัฐศาสตร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตามความต้องการคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
เพื่อรองรับการทำงานของ AI เพิ่มขึ้น

รวมถึงความต้องการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่จะมีการประกาศภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้น 1.4% ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ตามความนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทั่วโลก และความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง สำหรับอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม และผลไม้กระป๋องและแปรรูป ตามแนวโน้มการบริโภคอาหารพร้อมรับประทานเพิ่มขึ้น ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลง 17.4% โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูปตามทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง

หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลง 3.3% ได้แก่ ข้าว เนื่องจากอุปทานข้าวโลกยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับการเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง จากปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการจากตลาดหลัก อาทิ จีน มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยมีราคาถูกกว่า

ดัชนีราคานำเข้า เดือนเมษายน 2568 เท่ากับ 114.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวชะลอลงร้อยละ 1.0 (YoY) เป็นผลจากการลดลงของราคาสินค้าเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ ขณะที่การนำเข้าสินค้าในหมวดอื่น ๆ อาทิ สินค้าทุน วัตถุดิบ และอุปโภคบริโภค ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยหมวดสินค้าที่ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้น 8% ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องประดับอัญมณี และผัก ผลไม้ และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ ตามความต้องการเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของประเทศ และการขยายตัวของการท่องเที่ยว

หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้น 4.6% โดยเฉพาะทองคำ ตามทิศทางราคาตลาดโลกที่สูงขึ้น เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ทำให้ความต้องการถือครองทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน
ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น สำหรับอุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะแผงวงจรไฟฟ้า และสินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ตามความต้องการนำเข้าเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภายในประเทศ และส่งออก หมวดสินค้าทุน สูงขึ้น 4.1% ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรม
และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ

สำหรับหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ดัชนีราคาไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีการเปลี่ยนแปลงในบางกลุ่มสินค้าสำคัญ โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น คือ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ตามความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อการผลิตและประกอบรถยนต์ภายในประเทศและส่งออก ขณะที่สินค้าที่มีราคาลดลง คือ รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก เนื่องจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ประกอบกับมีการแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกในตลาดโลก ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิง หดตัวเพิ่มขึ้น 14.3% โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นผลจากอุปทานส่วนเกิน และความต้องการที่ชะลอตัว

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img