ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” หลังผู้เล่นในตลาดเลือก เทขายเงินดอลลาร์อีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.71 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.51-32.78 บาทต่อดอลลาร์) หลังจากที่เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงบ่ายวันก่อนหน้า ตามการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ
โดยเงินบาทก็ได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้นเพิ่มเติม หลังผู้เล่นในตลาดเลือกจะเดินหน้าเทขายเงินดอลลาร์อีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ หลังล่าสุดศาลอุทธรณ์ ได้ระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศ (CIT) ที่ได้ระงับการใช้มาตรการภาษีนำเข้าก่อนหน้า เป็นการชั่วคราว ส่งผลให้มาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาล Trump 2.0 ยังคงมีผลบังคับใช้
พร้อมกันนี้ศาลอุทธรณ์ยังได้ให้เวลาฝ่ายโจทก์และฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อคำสั่งดังกล่าวภายในวันที่ 5 มิถุนายน และ 9 มิถุนายน ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมผู้เล่นในตลาดได้เพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ เป็น 100% จากเดิมที่ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 70% และนอกเหนือแรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ เงินบาทยังได้รับอานิสงส์จากการรีบาวด์ขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านอีกครั้งของราคาทองคำ
แม้ว่าบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯจะยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของ Nvidia +3.3% จากรายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่สดใส ทว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น ซึ่งจำกัดการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.40%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.19% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจขึ้นกับคำตัดสินของศาล และความเสี่ยงที่ทางการสหรัฐฯ อาจเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม อาทิ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่ม Pharmaceuticals ซึ่งกดดันบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare ในยุโรป อาทิ Novo Nordisk -2.4% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +0.7% หลัง Nvidia รายงานผลประกอบการที่สดใส
ในส่วนตลาดบอนด์ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กอปรกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมามั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ จากเดิมที่ผู้เล่นในตลาดให้ โอกาสราว 70% ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.43% อย่างไรก็ตาม เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯอีกครั้ง ทำให้เราคงย้ำมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ก็จะเปิดโอกาสในการทยอยเข้าซื้อสะสม (Buy on Dip) ได้ โดยเฉพาะโซนสูงกว่าระดับ 4.50%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกกลับเข้าถือสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 144 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 99.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.2-100.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯได้กลับมาหนุนให้ ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะถือทองคำ อีกครั้ง กอปรกับการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ทยอยปรับตัวขึ้น เข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น แถว 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรทองคำแถวโซนแนวต้าน ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำเป็นไปอย่างจำกัด
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯในเดือนเมษายน พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 8.30 น. ของเช้าวันเสาร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีน (Official Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤษภาคม ที่อาจสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนได้
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง หลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ทว่า รัฐบาลสหรัฐฯก็ยังสามารถเลือกใช้กฎหมายบางมาตรา เพื่อเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าได้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท จะสวนทางกับการประเมินของเราในวันก่อนหน้า ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผู้เล่นในตลาดเผชิญความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะหากเห็นความเสี่ยงของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่รุนแรงมากขึ้น ก็จะทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงอาจกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯเพิ่มเติม ทำให้ ธีม Sell US Assets กลับมาอีกครั้ง และหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาไม่สดใส แย่กว่าคาดด้วยเพิ่มเติม ก็จะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อเงินดอลลาร์ รวมถึงสินทรัพย์สหรัฐฯได้ไม่ยาก
ทั้งนี้แม้เงินบาทจะพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้นำเข้า อาจยังคงมีความต้องการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์อยู่ในช่วงปลายเดือน นอกจากนี้ การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หากไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้ ราคาทองคำก็มีโอกาสที่จะย่อตัวลงมาบ้าง และช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ( ราคาทองคำควรมองเป็นปัจจัยเสี่ยง Two-Way risk ที่ทำให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้น หรืออ่อนค่าลงได้ ตามทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำด้วยเช่นกัน) ส่งผลให้โดยรวมเรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจติดแถวโซนแนวรับ 32.35 บาทต่อดอลลาร์ ได้ แม้เงินบาทจะสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทอาจยังติดแถว 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป หากเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง ก็จะอยู่แถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่างเงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.75 บาทต่อดอลลาร์