“อรมน” เผยโรงเรียนนานาชาติฟีเวอร์ กลุ่มผู้ปกครองที่มีรายได้สูงนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียน ระบุมีบริษัทจดทะเบียนตั้งโรงเรียนนานาชาติในไทย 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 5.1 หมื่นล้านบาท อังกฤษแชมป์ลงทุนในธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยสูงสุดถึง 30%
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดทำบทวิเคราะห์เจาะลึกธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ เพื่อให้ทราบถึงความปังของธุรกิจดังกล่าว รวมถึงสาเหตุที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติได้รับความนิยมจากผู้ปกครองที่มีรายได้สูง โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี และภูเก็ต ที่มีโรงเรียนนานาชาติตั้งอยู่รวมกันมากกว่า 80% โดย 10 อันดับโรงเรียนนานาชาติที่มีค่าเทอมสูงสุดอยู่ระหว่าง 905,300-1,109,400 บาทต่อปีพบว่า
กลุ่มผู้ปกครองในประเทศไทยที่มีรายได้สูงนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ รวมทั้งนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาทำงานในไทยพร้อมครอบครัวก็นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยเช่นกัน เนื่องจากโรงเรียนนานาชาติในไทยมีการขยายหลักสูตรเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ปกครองที่ต้องการการศึกษาคุณภาพสูงและมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล
รวมทั้งให้ความสำคัญต่ออัตราส่วนระหว่างครูผู้สอนกับจำนวนนักเรียน โดยมีอัตราครู 1 คน ต่อนักเรียน 8 คน สะท้อนถึงคุณภาพการศึกษาที่สูงขึ้นและการให้ความสำคัญกับการดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ส่งผลให้โรงเรียนนานาชาติในไทยมีมาตรฐานเทียบเท่าโรงเรียนนานาชาติในระดับสากล ผู้ปกครองชาวไทยและต่างชาติจึงนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติของไทย จากเดิมที่นิยมส่งบุตรหลานไปเรียนที่ต่างประเทศเป็นหลัก
นอกจากนี้ ปัจจัยสนับสนุนเชิงจิตวิทยาที่ส่งผลให้โรงเรียนนานาชาติได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ปกครองที่มีรายได้สูง 1 ในปัจจัยสำคัญ คือ สถานะทางสังคม หรือ Status แม้ว่าการเรียนในโรงเรียนนานาชาติจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าทางเลือกทั่วไป แต่ผู้ปกครองที่มีรายได้สูงก็เลือกที่จะลงทุนด้านการศึกษาให้แก่บุตรหลาน เนื่องจากได้รับการยอมรับในสังคมและการมีส่วนร่วมในเครือข่ายสากลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและความมั่งคั่ง
นอกจากนี้ ความชอบในสิ่งที่ ‘Exclusive’ หรือ มีความพิเศษกว่า ยังเป็นอีก 1 ปัจจัยที่ผู้มีรายได้สูงมักมองหาประสบการณ์หรือสิ่งที่ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป โรงเรียนนานาชาติมีหลักสูตรเฉพาะ การเข้าถึงเครือข่ายระดับโลก และสภาพแวดล้อมที่จะช่วยสร้างโอกาสการพัฒนาทักษะระดับสากล จึงสามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้ปกครองที่มีรายได้สูงเป็นอย่างดี
ซึ่งจากข้อมูลนิติบุคคลธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย (ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) พบว่า มีธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย จำนวน 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633.46 ล้านบาท แบ่งตามขนาดธุรกิจการศึกษา ขนาดเล็ก (S) 7,362 ราย สัดส่วน 98.02% ทุนจดทะเบียนรวม 33,159.56 ล้านบาท ขนาดกลาง (M) 122 ราย ทุน 11,239.55 ล้านบาท และ ขนาดใหญ่ 27 ราย สัดส่วน 0.36% ทุน 6,234.35 ล้านบาท ประกอบธุรกิจในรูปแบบ บริษัทจำกัด 6,717 ราย (89.43%) ทุน 48,171.92 ล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 790 ราย (10.52%) ทุน 1,116.64 ล้านบาท และ บริษัทมหาชนจำกัด 4 ราย (0.05%) ทุน 1,344.90 ล้านบาท
ข้อมูลสำคัญที่ทำให้ธุรกิจการศึกษาในประเทศไทยเป็นที่น่าจับตามอง หากวิเคราะห์ย้อนหลังไป 5 ปี (2563-2567) เห็นได้ชัดว่าการจัดตั้งธุรกิจและทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ปี 2563 จำนวน 502 ราย ทุน 1,012.18 ล้านบาท ปี 2564 จำนวน 512 ราย เพิ่มขึ้น 12 ราย หรือ 1.99% ทุน 719.10 ล้านบาท ปี 2565 จำนวน 616 ราย เพิ่มขึ้น 12 ราย หรือ 1.99% ทุน 1,496.04 ล้านบาท ปี 2566 จำนวน 889 ราย เพิ่มขึ้น 273 ราย หรือ 44.32% ทุน 1,733.03 ล้านบาท และ ปี 2567 จำนวน 979 ราย เพิ่มขึ้น 90 ราย หรือ 10.12% ทุน 1,875.37 ล้านบาท สำหรับเดือนมกราคม-เมษายน 2568 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 319 ราย ทุน 610.34 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการ 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) มีรายได้รวม ปี 2564 รายได้ 33,126.88 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 39,033.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,906.66 ล้านบาท หรือ 17.83% และปี 2566 รายได้ 46,290.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,257.42 ล้านบาท หรือ 18.59% ผลประกอบการ ปี 2564 กำไร 1,491.08 ล้านบาท ปี 2565 กำไร 3,368.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,877.28 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 1.26% และปี 2566 กำไร 5,785.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,417.22 ล้านบาท หรือ 71.76%
สำหรับการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย พบว่า มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 5,732.96 ล้านบาท โดยสัญชาติที่ลงทุนมากที่สุด คือ อังกฤษ 1,706.29 ล้านบาท 30% จีน 636.07 ล้านบาท 11% สิงคโปร์ 428.45 ล้านบาท 7% และ อื่นๆ 2,962.15 ล้านบาท 52%
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรมีการระบุว่าโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย มีจำนวนถึง 257 แห่ง และเนื่องจากการแบ่งกลุ่มธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย ไม่ได้มีการจัดกลุ่มสำหรับโรงเรียนนานาชาติเป็นการเฉพาะ กรมฯจึงได้มีการรวบรวมโรงเรียนนานาชาติที่ได้รับความนิยม จำนวน 20 ราย เพื่อวิเคราะห์มุมมองธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในเชิงลึกมากขึ้น
โดยปี 2566 รายได้รวมเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.04% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการขยายฐานนักเรียนและอาจรวมถึงการเพิ่มค่าเล่าเรียนหรือการขยายหลักสูตรเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ปกครองที่ต้องการการศึกษาคุณภาพสูงสำหรับบุตรหลาน
สำหรับโอกาสในการขยายตลาดของโรงเรียนนานาชาติในไทย ไม่เพียงแต่การเพิ่มจำนวนสาขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตอบสนองความต้องการของผู้เรียนยุคใหม่ ตั้งแต่การเข้าสู่จังหวัดท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก การพัฒนาหลักสูตรพิเศษ เช่น STEM (การสอนแบบบูรณาการข้ามกลุ่มสาระวิชา (Interdisciplinary Integration) ของ 4 ศาสตร์สาขาได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science : S) เทคโนโลยี (Technology : T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineer : E) และคณิตศาสตร์ (Mathematics : M) ) Coding ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนฝึกคิดอย่างเป็นระบบ ค้นเจอปัญหาและเงื่อนไข รู้เหตุและผล เข้าใจกระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นทักษะสำคัญและจำเป็นสำหรับเด็กในยุคใหม่ และ AI ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดแรงงานในอนาคต พร้อมทั้งการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ เน้นการปฏิบัติจริงและการพัฒนาทักษะที่สำคัญสำหรับศตวรรษที่ 21
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น อัตราการเกิดของประชากรที่อาจลดลงในระยะยาว ซึ่งอาจกระทบต่อจำนวนนักเรียนใหม่ในอนาคต นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เช่น ค่าแรงครู และการบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาวะที่การแข่งขันจากโรงเรียนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มรุนแรงขึ้น
แต่ยังคงมีโอกาสสร้างการเติบโตผ่านช่องทางการตลาดอื่นๆ ได้ เช่น การตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณภาพการศึกษาที่เหนือกว่า และการพัฒนาหลักสูตรเฉพาะที่สอดคล้องกับทักษะที่จำเป็นในโลกอนาคต เช่น STEM, Coding และ AI รวมถึงการขยายสู่จังหวัดท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มากและมีแนวโน้มที่จะสร้างรายได้ในระยะยาว