ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีคำสั่งระงับคำตัดสินของศาลการค้ากลาง ส่งผลให้คำสั่งขึ้นภาษีศุลกากรของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมามีผลอีกครั้งเป็นการชั่วคราว แม้ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาคำอุทธรณ์ แต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดการเงินโลก ซึ่งกำลังจับตาท่าทีของรัฐบาลสหรัฐในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศท่ามกลางความไม่แน่นอนทางนโยบาย
ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้มีคำสั่งระงับคำตัดสินของ “ศาลการค้ากลาง” ที่ได้สั่งระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นการชั่วคราว
โดย ศาลอุทธรณ์ระบุว่า ศาลได้ระงับการพิจารณาคำตัดสินของศาลชั้นล่างเพื่อให้มีการ พิจารณาคำอุทธรณ์ของรัฐบาลสหรัฐก่อน และยังสั่งให้โจทก์ในคดีนี้ (ซึ่งหมายถึงหลายรัฐที่รวมตัวกันยื่นฟ้องต่อศาลให้รัฐบาลหยุดการขึ้นภาษีดังกล่าว) ยื่นคำร้องภายในวันที่ 5 มิถุนายนนี้ และให้ฝ่ายบริหาร (คือรัฐบาล) ยื่นคำร้องภายในวันที่ 9 มิถุนายน
คำสั่งของศาลอุทธรณ์สหรัฐดังกล่าวจะทำให้การขึ้นภาษีของทรัมป์กลับมามีผลอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาชั่วคราว แต่ก็ทำให้ตลาดหุ้นไร้ทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่เพียงหนึ่งวันก่อนหน้านั้น “ศาลการค้ากลาง” เพิ่งจะมีคำสั่งระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรดังกล่าว ซึ่ง ทำให้ตลาดได้รับแรงหนุนในช่วงสั้นๆ
ทางด้าน นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทำเนียบขาว กล่าวว่ารัฐบาลของทรัมป์จะพยายามใช้มาตรการภาษีศุลกากรด้วยวิธีอื่น ถ้าหากสุดท้ายแล้วรัฐบาลต้องแพ้คดีในชั้นศาลเกี่ยวกับนโยบายการค้า
ในการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว นายนาวาร์โรกล่าวว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งพักการดำเนินคดี และรัฐบาลยังคงอยู่ในระหว่างการเจรจากับประเทศอื่นๆ เพื่อดำเนินการเจรจาการค้าต่อไป
ทั้งนี้ นโยบายการค้าที่วุ่นวายของสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกผันผวนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากร “วันปลดปล่อย” ของทรัมป์ในวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งต่อมาก็ถูกเลื่อนและมีการปรับขึ้นภาษีหลายครั้ง