วันเสาร์, พฤษภาคม 31, 2025
หน้าแรกHighlightเตือนรัฐบาลจัดงบฯปี 69 ‘ขาดวิสัยทัศน์’ ‘สุดารัตน์’หวั่นซ้ำเติมเศรษฐกิจจ่อดิ่งเหว
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เตือนรัฐบาลจัดงบฯปี 69 ‘ขาดวิสัยทัศน์’ ‘สุดารัตน์’หวั่นซ้ำเติมเศรษฐกิจจ่อดิ่งเหว

หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยแสดงความกังวลต่อร่างงบประมาณปี 2569 ที่ลดงบลงทุนสวนทางภาวะเศรษฐกิจ ชี้รัฐบาลใช้จ่ายโดยขาดทิศทางและขาดความโปร่งใส เสนอ 3 แนวนโยบายแก้เศรษฐกิจ พร้อมเตือนอย่าดึงประเทศเข้าสู่กับดักหนี้อย่างไร้ทางออก

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่พรรคไทยสร้างไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย แถลงแสดงความห่วงใยต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ของรัฐบาล โดยระบุว่า แม้จะตั้งวงเงินงบประมาณสูงถึง 3.78 ล้านล้านบาท แต่กลับลดงบลงทุนลงถึง 7.3% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้า ทั้งที่ปีนี้ควรเป็น “ปีแห่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจ” อย่างจริงจังจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ

คุณหญิงสุดารัตน์ระบุว่า การลดงบลงทุนในช่วงเวลาที่ประเทศต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ถือเป็นการบริหารงบประมาณที่ ขาดวิสัยทัศน์ และอาจนำไปสู่ภาวะถดถอยระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อโลกยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ราคาน้ำมันที่ผันผวน และความท้าทายจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“การลงทุนภาครัฐควรเป็นหัวใจของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่ใช่ถูกตัดทอน” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว พร้อมชี้ว่าการตัดลดงบลงทุนสะท้อนถึงการตัดสินใจระยะสั้น ขาดแผนพัฒนาในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน งบกลางยังคงถูกจัดสรรไว้สูงถึง 632,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา สร้างความกังวลว่าจะเป็น งบเงินทอน” ที่ถูกใช้แบบไร้การตรวจสอบ โปร่งใส และไม่มีประสิทธิภาพ

“นี่ไม่ใช่เงินในกระเป๋าส่วนตัวของใคร แต่เป็นเงินของประชาชน รัฐบาลต้องใช้อย่างระมัดระวัง โปร่งใส และตรวจสอบได้” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

คุณหญิงสุดารัตน์ ยังยกกรณีการยกเลิกโครงการแจกเงิน 10,000 บาท แล้วนำงบประมาณ 157,000 ล้านบาท ไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้เวลาเพียง 3 วันในการเสนอโครงการ ว่าไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อการทุจริตและการจัดสรรผลประโยชน์แบบ “Fast Track” โดยเฉพาะในโครงการที่ตรวจสอบยาก เช่น การสร้างถนน ขุดคลอง หรือการอบรมสัมมนา

โดยอ้างอิงข้อมูลจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT) ที่ระบุว่าโครงการรัฐบางประเภทอาจมีการเรียกรับสินบนสูงถึง 30% หากภาคเอกชนต้องการรับงานจากรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในการใช้จ่ายงบประมาณ

นอกจากนี้ ยังแสดงความกังวลว่า งบประมาณในด้านความมั่นคงยังคงได้รับน้ำหนักมากกว่างบเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการยกระดับขีดความสามารถแข่งขันในระยะยาว และไร้การเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตในอนาคต

ในด้านรายได้ คุณหญิงสุดารัตน์ระบุว่า รัฐบาลคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้เพียง 2.88 ล้านล้านบาท ทำให้ต้องกู้เงินเพิ่มถึง 865,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยงบขาดดุล ส่งผลให้หนี้สาธารณะจ่อทะลุ 13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 69% ของ GDP ใกล้แตะเพดานหนี้สาธารณะที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 70% อย่างน่าเป็นห่วง

“ประเทศไทยไม่ได้ขาดงบประมาณ แต่ขาดผู้นำที่มีแผน มีวิสัยทัศน์ และมีหัวใจที่เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชน”

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่พรรคไทยสร้างไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย แถลงแสดงความห่วงใยต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ของรัฐบาล โดยระบุว่า แม้จะตั้งวงเงินงบประมาณสูงถึง 3.78 ล้านล้านบาท แต่กลับลดงบลงทุนลงถึง 7.3% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้า ทั้งที่ปีนี้ควรเป็น “ปีแห่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจ” อย่างจริงจังจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ

คุณหญิงสุดารัตน์ระบุว่า การลดงบลงทุนในช่วงเวลาที่ประเทศต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ถือเป็นการบริหารงบประมาณที่ ขาดวิสัยทัศน์ และอาจนำไปสู่ภาวะถดถอยระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อโลกยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ราคาน้ำมันที่ผันผวน และความท้าทายจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“การลงทุนภาครัฐควรเป็นหัวใจของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่ใช่ถูกตัดทอน” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว พร้อมชี้ว่าการตัดลดงบลงทุนสะท้อนถึงการตัดสินใจระยะสั้น ขาดแผนพัฒนาในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน งบกลางยังคงถูกจัดสรรไว้สูงถึง 632,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา สร้างความกังวลว่าจะเป็น งบเงินทอน” ที่ถูกใช้แบบไร้การตรวจสอบ โปร่งใส และไม่มีประสิทธิภาพ

“นี่ไม่ใช่เงินในกระเป๋าส่วนตัวของใคร แต่เป็นเงินของประชาชน รัฐบาลต้องใช้อย่างระมัดระวัง โปร่งใส และตรวจสอบได้” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

เธอยังยกกรณีการยกเลิกโครงการแจกเงิน 10,000 บาท แล้วนำงบประมาณ 157,000 ล้านบาท ไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้เวลาเพียง 3 วันในการเสนอโครงการ ว่าไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อการทุจริตและการจัดสรรผลประโยชน์แบบ “Fast Track” โดยเฉพาะในโครงการที่ตรวจสอบยาก เช่น การสร้างถนน ขุดคลอง หรือการอบรมสัมมนา

โดยอ้างอิงข้อมูลจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT) ที่ระบุว่าโครงการรัฐบางประเภทอาจมีการเรียกรับสินบนสูงถึง 30% หากภาคเอกชนต้องการรับงานจากรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในการใช้จ่ายงบประมาณ

นอกจากนี้ ยังแสดงความกังวลว่า งบประมาณในด้านความมั่นคงยังคงได้รับน้ำหนักมากกว่างบเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการยกระดับขีดความสามารถแข่งขันในระยะยาว และไร้การเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตในอนาคต

ในด้านรายได้ คุณหญิงสุดารัตน์ระบุว่า รัฐบาลคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้เพียง 2.88 ล้านล้านบาท ทำให้ต้องกู้เงินเพิ่มถึง 865,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยงบขาดดุล ส่งผลให้หนี้สาธารณะจ่อทะลุ 13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 69% ของ GDP ใกล้แตะเพดานหนี้สาธารณะที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 70% อย่างน่าเป็นห่วง

“ประเทศไทยไม่ได้ขาดงบประมาณ แต่ขาดผู้นำที่มีแผน มีวิสัยทัศน์ และมีหัวใจที่เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชน”

ท้ายที่สุด หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เสนอ 3 แนวนโยบายให้รัฐบาลนำไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างตรงจุด ได้แก่

จัดตั้งกองทุนเครดิตประชาชน ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

เพิ่มงบประมาณเพื่อ Reskill และ Upskill แรงงาน รองรับเศรษฐกิจยุคใหม่

ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ให้มีความยั่งยืนในระยะยาว

คุณหญิงสุดารัตน์ยังเน้นย้ำว่า รัฐบาลควรทบทวนร่างงบประมาณปี 2569 อย่างรอบคอบ ก่อนที่จะผลักประเทศเข้าสู่กับดักหนี้ และความล้มเหลวทางเศรษฐกิจที่ยากจะฟื้นตัวในอนาคต

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img