“ภูมิธรรม” ย้ำจุดยืนไทยเดินหน้าแก้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ยึด MOU ปี 2543 เป็นกรอบเจรจา เผยกองทัพเตรียมพร้อมเต็มที่ แต่ยืนยัน “สงคราม” จะเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียและรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง
เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ท้องสนามหลวง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงจุดยืนของประเทศไทยต่อสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยยืนยันว่า รัฐบาลไทยยังคงยึดมั่นในแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง และยึดถือหลักการรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
นายภูมิธรรมระบุว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้แสดงจุดยืนชัดเจนในการหาทางออกโดยสันติวิธี รวมถึงมีความพยายามเจรจาในทุกช่องทางเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อย่างสงบ ขณะเดียวกันกองทัพไทยยังคงเตรียมความพร้อมอย่างรัดกุม เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยมีการประสานงานระหว่างกองทัพภาค ผู้บัญชาการทหารบก กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำว่าขณะนี้ยังไม่มีความบกพร่องใด ๆ ในการวางกำลังและดูแลพื้นที่แนวชายแดน
ในส่วนของการเจรจา นายภูมิธรรมเผยว่า ได้มีการพูดคุยร่วมกันระหว่างกระทรวงกลาโหม กองทัพ และกระทรวงการต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา ก็มีการหารือกันตลอดทั้งวัน เพื่อกำหนดแนวทางร่วมกัน
“การใช้มาตรการรุนแรงหรือการทำสงคราม จะเป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อทุกช่องทางของการเจรจาไม่สามารถเดินหน้าได้ แต่ขณะนี้ เรายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นของการเจรจา โดยยึดตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 2543) และกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC)” นายภูมิธรรมกล่าว
สำหรับประเด็นเรื่องการปิดด่านชายแดน นายภูมิธรรมชี้แจงว่า รัฐบาลไทยยังไม่มีคำสั่งปิดด่านชายแดนอย่างเป็นทางการ พร้อมระบุว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นมาตรการที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและเหมาะสมกับสถานการณ์จริงในพื้นที่ ซึ่งการตัดสินใจใด ๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบร่วมกันจากทุกฝ่าย ไม่ใช่การตัดสินใจตามอำเภอใจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ย้ำว่าทุกการดำเนินการจะยึดประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
นายภูมิธรรมกล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีความเป็นเอกภาพในการจัดการปัญหา และขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลจะใช้แนวทางสันติวิธีเป็นหลักอย่างถึงที่สุด พร้อมย้ำว่า “สงครามคือทางเลือกสุดท้าย” เพราะแม้กองทัพและประชาชนจะมีความพร้อมในการปกป้องประเทศ แต่รัฐบาลต้องคำนึงถึงชีวิต ความปลอดภัย และความสูญเสียที่จะตามมาอย่างถี่ถ้วน
สำหรับกรณีที่กัมพูชาเตรียมหยิบยกพื้นที่พิพาทบริเวณ “สามเหลี่ยมมรกต” ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกนั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า ในทางการเมือง แต่ละฝ่ายสามารถแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ ได้ แต่หากเข้าสู่กระบวนการเจรจาแล้ว สิ่งสำคัญคือการยึดข้อเท็จจริงและข้อมูลเป็นหลัก ไม่ใช่การแสดงความรู้สึกหรือใช้อารมณ์
“หากทุกฝ่ายร่วมกันยึดข้อเท็จจริง และเดินหน้าตามกลไกการเจรจา ก็เชื่อว่าสามารถหาทางออกร่วมกันได้ โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงหรือยกระดับสู่ความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น” นายภูมิธรรมกล่าวทิ้งท้าย
