วันศุกร์, มิถุนายน 6, 2025
หน้าแรกHighlightเปิดตลาด‘เงินบาทแข็งค่า-ดอลลาร์อ่อน’ จับตาประชุมอีซีบีคาดลดดอกเบี้ย0.25%
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เปิดตลาด‘เงินบาทแข็งค่า-ดอลลาร์อ่อน’ จับตาประชุมอีซีบีคาดลดดอกเบี้ย0.25%

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.59 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” หลังดอลลาร์อ่อน ขณะที่ยอดการจ้างงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเพียง 3.7 หมื่นตำแหน่งแย่กว่าคาด จับตาประชุมธนาคารกลางยุโรปคาดหั่นดอกเบี้ย 0.25%

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.59 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.55-32.73 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น เพียง 3.7 หมื่นตำแหน่ง

ส่วนดัชนี ISM PMI ภาคการบริการในเดือนพฤษภาคม ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 49.9 จุด (ต่ำกว่าระดับ 50 จุด สะท้อนถึง ภาวะหดตัว) แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร โดยภาพดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดได้ปรับเพิ่มโอกาสเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้งในปีนี้ เป็น 28% จากที่ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งในปีนี้ ก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ทยอยปรับตัวขึ้นเข้า ตามการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ (ทางการสหรัฐฯได้ปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นสองเท่า จาก 25% เป็น 50%) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอนเช่นกัน

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้การปรับตัวลงของราคาหุ้น Tesla -3.6% หลังบริษัทรายงานยอดขายในยุโรปที่น่าผิดหวัง ก็มีส่วนกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯเพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.01%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.47% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นเยอรมนี (ดัขนี DAX +0.77%) ท่ามกลางความหวังต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนี หลังรัฐบาลเยอรมนีได้อนุมัติมาตรการลดภาษีนิติบุคคลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกชะลอลงบ้าง จากความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ล่าสุดทางการสหรัฐฯได้ปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นสองเท่า (25% เป็น 50%)

ส่วนตลาดบอนด์ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กอปรกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้งในปีนี้ เป็นราว 28% จากเดิม 0% ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.36%

อย่างไรก็ตาม มองว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯอีกครั้ง หรือในจังหวะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มออกมาสดใส ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจชะลอการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯได้ เพื่อรอจังหวะเข้าซื้อ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโซนแถวระดับ 4.50% หรือสูงกว่า

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯต่างออกมาแย่กว่าคาด ขณะเดียวกันบรรยากาศในตลาดการเงินก็ถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกกลับเข้าถือสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 143 เยนต่อดอลลาร์อีกครั้ง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.3 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ทยอยปรับตัวขึ้นทะลุโซน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้สำเร็จ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเรามองว่า ECB จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ลง 25bps สู่ระดับ 2.00% ซึ่งถือเป็นระดับ Neutral Rate ที่ทาง ECB ได้ประเมินไว้ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะประธาน ECB ในช่วง Press Conference เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการของจีน (Caixin Services PMIs) เดือนพฤษภาคม ที่อาจสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนได้

ทางฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่างยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด นอกจานี้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทยอมรับว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง จนกว่าตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจำเป็นต้องเห็นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่างยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่ออกมาดีกว่าคาด สวนทางกับยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP หรืออย่างน้อยยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็ไม่ควรปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องชัดเจน ซึ่งการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทดังกล่าวจะได้แรงหนุนจากทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ (ที่จะมาพร้อมกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯในช่วงตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย) และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจากในช่วงนี้ เรายังคงเห็นแรงซื้อเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่บ้าง อาทิ ในจังหวะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ก็อาจมีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันดิบ นอกจากนี้ก็อาจมีแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติที่ช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง

ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน ทำให้มีความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจย่อตัวลงได้ หากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนการปรับตัวขึ้นต่อ (เราคงย้ำว่า ราคาทองคำ คือ Two-Way risk สำหรับเงินบาทขึ้นกับทิศทางราคาทองคำ) ทำให้โดยรวมในระยะสั้น เงินบาทอาจติดโซนแนวรับแถว 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ได้

ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทนั้น จะอยู่ในช่วง 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งการจะเห็นเงินบาทกลับมาอ่อนค่าได้บ้างนั้น เรามองว่าจำเป็นต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดีกว่าคาด หนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันราคาทองคำไปพร้อมกันด้วย ทั้งนี้หากผลการประชุม ECB ในวันนี้ สะท้อนว่า ECB ยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อเงินยูโร (EUR) ในระยะสั้น หนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img