ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ตลาดจับตาแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลายตลาดหุ้นปิดทำการเนื่องในวันหยุด Whit Monday หรือ Pentecost Monday ทำให้ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินยุโรปเบาบาง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.67 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.61-32.74 บาทต่อดอลลาร์) หลังบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป ส่งผลให้โดยรวม เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในลักษณะ Sideways
ทั้งนี้เงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้น จากโซนแนวรับแถว 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่า การปรับตัวขึ้นต่อของราคาทองคำก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกจะทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง และต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง เพื่อรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในวันพุธนี้ รวมถึงรอติดตามความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ทั้งนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังพอได้รับอานิสงส์บ้าง จากการปรับตัวขึ้นของ Amazon +1.6% หลังประกาศพร้อมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อขยาย Data Center สำหรับธุรกิจ AI นอกจากนี้ ราคาหุ้น Tesla +4.6% ก็รีบาวด์ขึ้น หลังปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.09% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.31%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.07% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นอกจากนี้หลายตลาดหุ้นก็ปิดทำการเนื่องในวันหยุด Whit Monday หรือ Pentecost Monday ทำให้ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินยุโรปเบาบางลงจากช่วงปกติ
ในส่วนตลาดบอนด์ บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯและความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง แถวโซน 4.50% อนึ่ง เรายังคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯอีกครั้ง หรือในจังหวะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มออกมาสดใส ทำให้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะเข้าซื้อ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโซนแถวระดับ 4.50% หรือสูงกว่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง เพื่อรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เหนือโซน 144 เยนต่อดอลลาร์อีกครั้ง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 98.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ท่าทีระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด รวมถึงจังหวะย่อตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) มีจังหวะรีบาวด์ขึ้น ทว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็ถูกชะลอลงจากแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,322 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้สำเร็จ
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ โดยเฉพาะยอดการจ้างงาน อัตราการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOE มีโอกาสราว 65% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ในปีนี้
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดเล็ก (NFIB Small Business Optimism) เดือนพฤษภาคม ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และที่น่าสนใจคือ ภาคธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง ถือว่า เป็นภาคธุรกิจที่มีการจ้างงานในสัดส่วนที่สูง ทำให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจขนาดเล็ก อาจช่วยสะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯได้เช่นกัน ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่าง “จีน”
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways 32.50-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ รวมถึงรอติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน
อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวัน ควรจับตาการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ซึ่งยังคงเป็น Two-Way risk สำหรับเงินบาท (เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นบ้าง หากราคาทองคำทยอยรีบาวด์สูงขึ้น กลับกัน หากราคาทองคำปรับตัวลงต่อ ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง) โดยเรามองว่า หากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก ทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินทยอยกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ก็อาจกดดันให้ราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลงเพิ่มเติมได้ ซึ่งภาพดังกล่าวจะช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท แม้ว่า เงินดอลลาร์อาจย่อตัวลงบ้าง หรือบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียอาจทยอยแข็งค่าขึ้น ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน
นอกจากนี้ เงินบาทอาจยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากแรงขายสินทรัพย์ไทยโดยบรรดานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงอาจมีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมัน หลังในช่วงนี้ ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทยอยสูงขึ้น และอาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ไม่ยาก หากตลาดมีความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน (และคู่ค้าอื่นๆ) ส่งผลให้ดีต่อแนวโน้มความต้องการใช้พลังงาน จากภาพเศรษฐกิจโลกและบรรดาเศรษฐกิจหลักที่อาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตลาดเคยกังวล หากสถานการณ์การค้าโลกทยอยดีขึ้น
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ เพราะหากข้อมูลดังกล่าว ยังคงสะท้อนภาพตลาดแรงงานอังกฤษที่สดใส ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ BOE หนุนให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ซึ่งอาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่างเงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัดมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.75 บาทต่อดอลลาร์