“ปวีณา”เผยเตรียมเรียกคิงเพาเวอร์หารือผลกระทบสัญญาร้านสินค้าปลอดภาษี 3 สัญญาวันพุร่งนี้ บอร์ดไฟเขียวจ้างที่ปรึกษาหาทางออกพร้อมเร่งสรุปใน 60 วัน ยืนยันสถานะทางการเงิน ยังแข็งแรงมีแผนบริหารความเสี่ยง
นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง รักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการ ทอท. ว่า หลังจากที่บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ได้ทำหนังสือถึง ทอท.เกี่ยวกับผลกระทบสัญญาร้านสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) 3 สัญญา ได้แก่ สัญญาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สัญญาท่าอากาศยานดอนเมือง และสัญญาท่าอากาศยานในภูมิภาค ประกอบด้วย ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่นั้น
จากการตีความในหนังสือไม่พบว่ามีข้อระบุถึงการขอยกเลิกสัญญา มีเพียงรายละเอียดผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยภายนอก ผลกระทบโควิด-19 สถานการณ์สงครามและความชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการเดินทางระหว่างประเทศ อีกทั้งยังระบุว่าในสภาวะที่เกิดขึ้น คิงเพาเวอร์ยังคงต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามที่เสนอไว้ในสัญญา ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูง ทำให้ต้องแบกรับต้นทุนดังกล่าว โดยมองว่าสัญญาของ ทอท.ไม่เป็นธรรม ดังนั้นคิงเพาเวอร์จึงต้องการหารือแนวทางแก้ไขปัญหา ลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้รายละเอียดในหนังสือของคิงเพาเวอร์ ได้ระบุถึง 7 ประเด็นสำคัญที่กระทบต่อธุรกิจ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบด้วย
1. การยุติการดำเนินการร้านค้าปลอดภาษีขาเข้า ตามนโยบายภาครัฐ ทำให้สูญเสียโอกาสการสร้างรายได้
2. การลดภาษีสินค้าประเภทแอลกอฮอล์ทำให้ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง
3. การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการภายในอาคารผู้โดยสารของ ทอท. เพื่อปรับปรุงบริการผู้โดยสาร
4. มาตรการเชิงรุกของรัฐที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง
5. สถานการณ์ภายในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาลดลง
6. การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้จำนวนผู้โดยสารเป็นศูนย์ในช่วงที่ผ่านมา
7. สถานการณ์สงครามและความชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการเดินทางระหว่างประเทศ
โดยคิงเพาเวอร์ ต้องการให้ ทอท. วิเคราะห์และเจรจาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระยะยาว ซึ่งเรื่องนี้ ทอท.ได้รับไว้พิจารณา และนัดหารือกับคิงเพาเวอร์ในวันพรุ่งนี้ (17 มิ.ย.) ซึ่งทอท. ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง และได้นำเสนอแนวทางต่อบอร์ด ทอท. ซึ่งได้รับความเห็นชอบแล้ว โดยยืนยันว่า ทอท. จะไม่ยกเลิกสัญญาโดยง่าย ต้องหารือแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันก่อน ซึ่งจะยึดเป้าหมาย ทอท.ต้องไม่เสียประโยชน์ และเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้รอบด้าน บอร์ด ทอท.จึงมีมติตั้งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหา และจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเพื่อศึกษาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาให้รอบด้าน ซึ่งคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้จะคัดเลือกจ้างที่ปรึกษาแล้วเสร็จ
สำหรับแนวทางการศึกษา จะครอบคลุมประเด็นด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิน และการบริหารธุรกิจ เพื่อวิเคราะห์ข้อจำกัดของสัญญาเดิม รวมถึงเสนอแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 60 วัน ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป เบื้องต้นจึงคาดว่าภายใน ส.ค.นี้ จะได้ข้อสรุปเพื่อแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน
โดย ทอท. มองว่าสัญญาเชิงพาณิชย์เป็นเรื่องที่ยืดหยุ่นได้ และมีการปรับแก้เงื่อนไขสัญญาตามสถานการณ์อยู่แล้ว ซึ่งสัญญาคิงเพาเวอร์ก็มีรายละเอียดแนบท้าย หากมีเหตุสุดวิสัย สามารถเจรจาแก้ไขสัญญาได้ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาทุกทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นการปรับแก้สัญญาหรือการยกเลิก จะต้องอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ของ ทอท. และผู้ถือหุ้น รวมถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ยืนยันว่าบริษัทฯ ยังมีสถานะทางการเงินมั่นคงแข็งแรง และยืนยันว่าส่วนแบ่งรายได้จากคิงเพาเวอร์ คิดเป็นเพียง 17% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งปี 2567 ทอท.มีรายได้รวม 6.3 หมื่นล้านบาท ดังนั้นรายได้จากคิงเพาเวอร์จะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนค่าตอบแทนที่คิงเพาเวอร์ยังค้างชำระอยู่นั้น ที่ผ่านมาได้ครบกำหนดทยอยจ่ายคืนมาแล้วบางส่วน และพบว่ายังไม่เกินวงเงินค้ำประกัน (Bank Guarantee) ที่วางไว้เป็นหลักประกันตามหลักเกณฑ์ในสัญญา
“ทอท.ยังยืนยันว่าคิงเพาเวอร์ต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนตามสัญญากำหนดเช่นเดิม ซึ่งปัจจุบันคิงเพาเวอร์ในรูปแบบ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) ซึ่งมีอัตราการจ่ายสูงกว่ารูปแบบ จ่ายส่วนแบ่งรายได้ (Revenue sharing) ที่กำหนดในสัญญา 20% ของยอดขาย “