สสส. จัดมหกรรมแนะแนวการศึกษาแห่งเดียวในประเทศ “เด็กพิการเรียนไหนดี ‘64” ให้เด็กพิการเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียม สร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมทางที่ใช่สู่อาชีพที่ชอบ สร้างสุขภาวะกาย-ใจ-ปัญญา-สังคม
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ที่ทรู ไอคอนสยาม ศูนย์การค้าไอคอนสยาม กทม. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และบริษัท กล่องดินสอ จำกัด จัดงานมหกรรมแนะแนวการศึกษาคนพิการแห่งเดียวในประเทศ “เด็กพิการเรียนไหนดี ‘64” ตอน ปั้นฝันเป็นตัว มุ่งเพิ่มทักษะให้เด็กพิการได้เข้าถึงระบบการศึกษาเท่าเทียมเด็กทุกคน ส่งเสริมขับเคลื่อนสู่นโยบายระดับชาติ
นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. กล่าวว่า งานมหกรรมแนะแนวการศึกษาเพื่อคนพิการ จัดขึ้นครั้งที่ 3 มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อให้นักเรียนพิการได้เรียนรู้ค้นหาตนเอง และวางแผนเลือกเรียนในโรงเรียน สถาบันหรือมหาวิทยาลัยที่สอดคล้องกับความต้องการ 2. เพื่อให้นักเรียนพิการได้เรียนรู้เส้นทางการศึกษาต่อระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา
3. เพื่อให้นักเรียนพิการได้เรียนรู้เทคนิคการเรียนและการสอบในมหาวิทยาลัย วิทยาลัยอาชีวศึกษา รวมถึงเส้นทางการประกอบอาชีพในอนาคตจากรุ่นพี่นักศึกษาพิการ และ 4. เพื่อให้ผู้ปกครองของนักเรียนพิการสามารถเข้าถึงข้อมูลและตัวเลือกทางการศึกษา ต่อเนื่องงานเชิงรุกที่ขับเคลื่อนการจ้างงานเชิงสังคมทำให้คนพิการสามารถเข้าสู่การมีอาชีพมีงานทำได้ จำนวนกว่า 7,000 อัตรา และสร้างโอกาสให้คนพิการได้ทำงานแล้วกว่า 20,000 โอกาสงาน
“โจทย์ใหญ่ที่ สสส. ตั้งใจทำคือ สร้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้เด็กที่พิการเท่าเทียมในสังคม แม้ร่างกายของเขาจะแตกต่าง แต่ศักยภาพและทักษะของคนกลุ่มนี้ล้ำเลิศไม่แพ้กับเด็กทุกคน โดยสร้างพื้นที่ชุมชนออนไลน์ผ่านเพจ “เด็กพิการเรียนไหนดี” และกลุ่มFacebook “เด็กพิการอยากเรียนมหา’ลัย” โดยมุ่งพัฒนากลไกสนับสนุนการออกแบบ สร้างสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ให้รองรับวิถีชีวิตคนพิการ ปีนี้ใช้ชื่อตอน “ปั้นฝันเป็นตัว” มีเป้าหมายให้คนพิการค้นหาตัวเอง เน้นแนะแนวทางการเรียน สอนวิธีสร้างแฟ้มสะสมงานให้น่าสนใจ พร้อมเผยเคล็ดไม่ลัพธ์เทคนิคตอบคำถามสัมภาษณ์ให้เด็กพิการเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น ซึ่งพบว่า ปีที่ผ่านมามีเด็กพิการสนใจศึกษาต่อระดับชั้นปริญญาตรีร้อยละ 76 ที่เหลือสนใจวิชาสายอาชีพ ปวช.-ปวส. มากขึ้น ” นางภรณี กล่าว