วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSEIC ปรับจีดีพีปีหน้าโต 3.2%หวั่น"โอมิครอน" ลากยาวฉุดศก.
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

EIC ปรับจีดีพีปีหน้าโต 3.2%หวั่น”โอมิครอน” ลากยาวฉุดศก.

EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยปีขาลโต 3.2% วิตกโอมิครอนฉุดท่องเที่ยว-ความเชื่อมั่น แม้การระบาดไม่รุนแรงเท่าเดลต้าแต่ต้องระวัง คาดธปท.คงดอกเบี้ย 0.5% ยาวถึงสิ้นปีหน้า

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า  ได้ปรับเป้าจีดีพีในปี 65 เติบโตเพียง 3.2% จากเดิมตั้งไว้  3.4% เนื่องจากการระบาดโควิดสายพันธุ์ใหม่ Omicron มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งเป็นความเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวมากกว่าที่ประเมินได้และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นในช่วงไตรมาส 1/65 

ส่วนภาคการส่งออกสินค้าจะยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามการเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าโลก คาดว่าจะเติบโต 3.4% ขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนของไทยและประเทศต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การเดินทางระหว่างประเทศสะดวกขึ้น ทำให้ภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 5.9 ล้านคน 

สำหรับการฟื้นตัวในภาพรวมจะยังเป็นไปอย่างช้า ๆ จากผลของร่องรอยแผลเป็นเศรษฐกิจในช่วงสองปีที่ผ่านมาทั้งในด้านรายได้ครัวเรือนจากตลาดแรง งานที่ซบเซา และภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ในส่วนของภาครัฐ คาดว่าจะยังคงมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจผ่านทั้งเม็ดเงินจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้เม็ดเงินในส่วนที่เหลือประมาณ 2.6 แสนล้านจาก พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาทและการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ 

สำหรับแรงส่งจากภาครัฐในภาพรวมมีแนวโน้มทยอยปรับลดลงจากปีก่อน ด้านนโยบายการเงิน EIC คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตลอดปีหน้า เพื่อสนับ สนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางภายใต้เงินเฟ้อที่แม้จะเร่งตัวแต่ยังอยู่ในกรอบนโยบาย

แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ในปีหน้า แต่ยังเป็นการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และยังต่ำกว่าระดับศักยภาพค่อนข้างมาก ทำให้มีความสูญเสียทางเศรษฐกิจ (output loss) ในระดับสูง และอาจกระทบต่อศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ผ่านการลงทุนและการจ้างงานที่น้อยลง โดยกว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไปอยู่ในระดับปี 2562 (ก่อน COVID-19) จะต้องรอถึงช่วงกลางปี 2566 

นอกจากนี้ ความเสี่ยงของการระบาดระลอกใหม่ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นหลังการระบาดของ Omicron เริ่มแพร่กระจายในหลายประเทศ ซึ่งเป็นความเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวมากกว่าที่คาดได้

ดังนั้น ภาครัฐควรพิจารณาการใช้จ่ายเพิ่มเติมโดยเน้นการใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนโครง สร้างเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยน แปลงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการปรับทักษะแรงงาน การสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของกลุ่มธุรกิจ SME และการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะเป็น New S-Curve ของไทย

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญคือ 1.การระบาด COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ทั้งในไทยและต่างประเทศที่อาจกลับมารุนแรงขึ้น  2. การเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อตามราคาสินค้าโภค ภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้นและปัญหาคอขวดอุปทานโลก ส่งผลกระทบทางตรงผ่านกำลังซื้อในประเทศที่ลดลงและทางอ้อมผ่านภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นเร็วโดยเฉพาะหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าคาด 

3. การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่มากกว่าคาดจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ และ4. ผลของแผลเป็นเศรษฐกิจที่อาจมีมากกว่าคาด จนกระทบต่อกำลังซื้อและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม คาดว่าค่าเงินบาทปีหน้าจะอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 

สำหรับในปี 64 คาดว่าจีดีพีโต 1.1% จากเดิมตั้งไว้  0.7% ตามการระบาด COVID-19 ในประ เทศที่เริ่มคลี่คลาย จำนวนผู้ได้รับวัคซีนที่เพิ่มมากขึ้น และมาตรการควบคุมโรคที่ผ่อนคลายลง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเภทกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง อีกทั้ง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นหลังการเปิดประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจทยอยปรับฟื้นตัวดีขึ้น

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img