“ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา” นักไวรัสวิทยา ชี้ ซิโนแวค 2 เข็ม + ไฟเซอร์ ยับยั้งสายพันธุ์โอมิครอน มากกว่ากระตุ้นแอสตร้าเซนเนกา 3 เท่า เนื่องจากระดับแอนติบอดีที่วัดคือ 2-4 สัปดาห์หลังกระตุ้น
เมื่อวันที่1 ม.ค.65ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เผยแพร่ผลการทดสอบการยับยั้งไวรัสตัวแทนสายพันธุ์โอมิครอน โดยระบุดังนี้
ทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ของ ไบโอเทค สวทช. ได้พัฒนาระบบไวรัสตัวแทนที่มีการแสดงออกของโปรตีนหนามสไปค์ของ SARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอน และใช้ระบบไวรัสดังกล่าวทดสอบกับตัวอย่างซีรั่มที่ได้รับจากอาสาสมัครที่ฉีดวัคซีนในรูปแบบต่าง ๆ
S-S : ได้รับ CoronVac ของ Sinovac 2 เข็ม และเก็บซีรั่มที่ 1 เดือน หลังเข็มสอง
S-A: ได้รับ CornaVac และตามด้วย AstraZeneca และเก็บซีรั่มที่ 2 สัปดาห์หลังเข็มสอง
S-S-A: ได้รับ AstraZeneca เป็นเข็มที่ 3 กระตุ้นหลังจากได้ CoronaVac 2 เข็ม เก็บซีรั่มหลังเข็มสาม 2 สัปดาห์
S-S-P: ได้รับ Pfizer เป็นเข็มที่ 3 กระตุ้นหลังจากได้ CoronaVac 2 เข็ม เก็บซีรั่มหลังเข็มสาม 2 สัปดาห์
ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า สูตรวัคซีน 2 เข็มให้ค่า Neutralization antibody ที่ยับยั้งไวรัสตัวแทนโอมิครอนได้ต่ำกว่าค่า Limit of Detection (LOD) คือ 40 เป็นส่วนใหญ่ โดยทั้งสองสูตรไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ
สูตร S-S-A ให้ค่า Neutralizing antibody เฉลี่ยสูงกว่าค่า LOD แต่เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างที่นำมาศึกษามีความหลากหลายของภูมิคุ้มกันค่อนข้างสูง ทำให้ค่าความต่างทางสถิติยังไม่มีนัยสำคัญ มีตัวอย่างบางคนใน S-S-A ที่ได้ค่าที่สูงมากเช่นกัน
สูตร S-S-P ให้ค่า Neutralizing antibody ต่อโอมิครอนสูงสุดในการทดสอบครั้งนี้ โดยมีค่าสูงกว่า LOD อย่างชัดเจน และมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับทุกสูตร โดย S-S-P สูงกว่า S-S-A ประมาณ 3 เท่า เนื่องจากระดับแอนติบอดีที่วัดคือ 2-4 สัปดาห์หลังกระตุ้น ทำให้ยังไม่ชัดเจนว่า ความสามารถในการยับยั้งไวรัสจะลดลงหรือไม่ ซึ่งต้องทดสอบต่อไปในอนาคตเมื่อมีตัวอย่างเพิ่มขึ้น
ปล: หลังปีใหม่ทีม AVCT มีซีรั่มรอให้ทดสอบอีกเป็นพันครับ คงได้ข้อมูลมากขึ้นอีกในไม่ช้าครับ โปรดติดตามตอนต่อไป”