วันอังคาร, พฤศจิกายน 26, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSความเชื่อมั่นผู้บริโภคม.ค.วูบครั้งแรกรอบ 5 เดือน 
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคม.ค.วูบครั้งแรกรอบ 5 เดือน 

โควิดพ่นพิษผสมโรงค่าครองชีพพุ่ง-การเมืองไร้เสถียรภาพ  ฉุดความเชื่อมั่นม.ค.ลดฮวบครั้งแรกในรอบ 5 เดือน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิบการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนม.ค. 65 อยู่ที่ระดับ 44.8 จากเดือนธ.ค.64 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 46.2 ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 38.7, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ อยู่ที่ 41.4 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 54.4

สำหรับปัจจัยลบที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนม.ค.ลดลง ได้แก่ 1.ความกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งกระทบต่อการดำเนินชีวิต การทำธุรกิจ ตลอดจนการท่องเที่ยว อีกทั้งศูนย์บริหารสถานการร์โควิด-19 (ศบค.) ยังยกเลิกระบบ Test&Go เป็นการชั่วคราว 2.ผู้บริโภคยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลง ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ ราคาสินค้าที่ยังอยู่ในระดับสูง 3.ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้น 4.ความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ 5.เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น

ส่วนปัจจัยบวก ได้แก่ 1.กระทรวงการคลัง ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 64 ขยายตัว 1.2% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ 1.0% และคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 จะขยายตัวที่ระดับ 4% 2.ภาครัฐดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใน 7 มาตรการ 3.การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของทั้งโลกที่เป็นรูปธรรมเพิ่มมากขึ้น 4.การส่งออกของไทยในเดือน ธ.ค.64 ขยายตัว 24.18% ส่งผลให้ทั้งปี ขยายตัวได้ 17% และ 5.ราคาพืชผลเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ทำให้รายได้เกษตรกร และกำลังซื้อในต่างจังหวัดเพิ่มสูงขึ้น

“เดือนก.พ.กลุ่มตัวอย่างอาจจะมีความกังวลมากขึ้น จากทั้งสถานการณ์ระบาดของโอมิครอน และปัญหาราคาสินค้าแพง โดยเฉพาะราคาหมู และราคาน้ำมัน ต้องรอดูว่าความเชื่อมั่นจะทรุดลงไปมากหรือไม่ เพราะก็ยังมีปัจจัยบวกที่อาจจะช่วยหนุนไว้ คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่กลับเข้ามา โดยเฉพาะคนละครึ่งเฟส 4 และการกลับมาเปิด Test&Go ได้อีกครั้ง”

ทั้งนี้ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจจะยังไม่ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2565 โดยยังคงไว้ตามเดิมที่ 3.5-4% มองว่ามีโอกาสเป็นไปได้ ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่สามารถคลี่คลายลงได้ภายในเดือนมี.ค. และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาหลังการเปิดระบบ Test&Go อีกครั้ง

ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น เชื่อว่าเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวจากผลกระทบของราคาสินค้าและราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อของไทยในช่วงครึ่งปีแรก ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2.5-3.5% รวมทั้งต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนว่าจะมีแนวโน้มคลี่คลายลงหรือไม่ เพราะถ้าคลี่คลายได้ ก็จะทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่สูงเกินไปกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่หากไม่สามารถคลี่คลายได้ อาจจะทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงไปถึง 120 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับราคาที่ส่งผลกระทบทางจิตวิทยา

ส่วนกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการรถบรรทุกจะปรับขึ้นราคาค่าขนส่งอีก 20% ว่า ปกติแล้วต้นทุนค่าขนส่งจะมีสัดส่วน 15-20% อยู่ในราคาสินค้า ดังนั้นหากผู้ประกอบการจะขอปรับขึ้นค่าขนส่งอีก 20% ก็จะส่งผลให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น 3-4% แต่หากปรับขึ้นค่าขนส่ง 10% จะทำให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น 1-2%

สำหรับสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาลนั้น  หากจะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล การยุบสภามองว่าเป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นได้ และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เพียงแต่คนจะติดตามว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล และดูความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาลในด้านต่างๆ แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือ การชุมนุมประท้วงนอกสภา หากสถานการณ์มีความรุนแรงจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้นั้นอาจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้มากกว่า

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img