“สุรนันทน์”ยอมรับโดดร่วม “สร้างอนาคตไทย” ชู “สมคิด”เป็นแคนดิเดตนายกฯ มั่นใจพาประเทศพ้นวิกฤต สามารถแก้ปัญหาระยะสั้นเกี่ยวกับปัญหาปากท้องได้ และสามารถวางพื้นฐานด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้ยั่งยืนมากขึ้น
เมื่อวันที่ 23 มี.ค.65นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ตนเข้ามาช่วยดูแลนโยบายของพรรคสร้างอนาคตไทยไปก่อน ยังไม่ได้มีตำแหน่งที่ชัดเจนต้องรอการประชุมพรรคในช่วงต้นเดือนเม.ย.นี้ โดยบอกกับนายอุตตม สาวนายน ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย ว่าไม่ได้ต้องการตำแหน่งทางการเมือง อยากทำเพียงแบ่งปันประสบการณ์ให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่มากกว่า ส่วน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จะอยู่ในรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคสร้างอนาคตไทย หรือไม่
นายสุรนันทน์ กล่าวว่า หวังเช่นนั้น เพราะยังไม่รู้อนาคตว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะยุบสภาเมื่อใด ขณะนี้นายสมคิด เป็นคนหนึ่งที่ช่วยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับแนวนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรค และช่วยแนะนำการชักชวนคนที่มีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ เข้ามาร่วมงานกับพรรคสร้างอนาคตไทย หวังว่านาทีสุดท้ายนายสมคิด จะตัดสินใจเป็นแคนดิเดตนายกฯ หากตนมีโอกาสอยู่ในพรรคสร้างอนาคตไทย จะยกมือให้นายสมคิดเป็นแคนดิเดตนายกฯ
เมื่อถามว่าการเสนอตัวเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หมายความว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ยังมีจุดอ่อนในเรื่องนี้อยู่ หรือไม่ นายสุรนันทน์ กล่าวว่า ถือว่ายังมีจุดอ่อน เพราะรัฐบาลนี้อยู่มานาน ชุดความคิดที่นายสมคิด เคยวางไว้ในช่วงต้นของรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่ได้ถูกสานต่ออย่างครบถ้วน เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางบุคลากรด้วยเหตุผลทางการเมือง ทำให้แผนเศรษฐกิจต่างๆชะงักไปและในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เกิดการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทั่วโลก แต่การบริหารจัดการของรัฐบาลมีจุดอ่อนเยอะมาก ทำให้การดูแลระบบสาธารณสุขของประชาชนช่วงแรกมีปัญหา ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ไม่ได้สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจระยะยาวทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจได้อย่างเต็มที่ และไปในทิศทางที่ถูกต้อง ดังนั้นคิดว่าแม้จะไม่รู้ว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ อย่างน้อยหากรัฐบาลนำชุดความคิดของพรรคสร้างอนาคตไทยไปใช้ก็ยินดี เพราะเราไม่ได้คุยกันที่การแพ้หรือชนะเลือกตั้ง แต่คุยกันว่าชุดความคิดทางเศรษฐกิจของใครที่จะช่วยแก้ปัญหาของประเทศ
ส่วนมั่นใจว่าชุดความคิดทางเศรษฐกิจของนายสมคิด จะสามารถช่วยกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทย ได้ หรือไม่ นายสุรนันทน์ กล่าวว่า เท่าที่ได้แลกเปลี่ยนกัน คิดว่าประมาณ 90 เปอร์เซนต์ หากได้เปิดนโยบายและนำไปสู่การปฏิบัติจริงสามารถทำได้ คือสามารถแก้ปัญหาระยะสั้นเกี่ยวกับปัญหาปากท้องได้ และสามารถวางพื้นฐานด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้ยั่งยืนมากขึ้น
