ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย ” จับตาเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการบริการ-ยอดการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย ”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.51-32.64 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
นอกจากนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินในช่วงคืนที่ผ่านมา ก็มีส่วนช่วยหนุนเงินดอลลาร์ ผ่านความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดจะเข้าสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ราคาทองคำ (XAUUSD) กลับเผชิญแรงขายต่อเนื่อง จนปรับตัวลดลงหลุดโซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง และเป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงหนัก จากแรงขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลประเด็นความเสี่ยงว่ามูลค่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวอาจอยู่ในระดับสูงเกินไป ซึ่งความกังวลดังกล่าวก็เกิดขึ้นในช่วงที่บรรดา CEO ของทั้ง JP Morgan Goldman Sachs และ Morgan Stanley ต่างออกมาเตือนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เสี่ยงเผชิญการปรับฐานอย่างน้อย -10% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.17% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.04%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลง -0.30% ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาผสมผสาน โดยผู้เล่นในตลาดได้ทยอยขายทำกำไรหุ้นธีม AI/Semiconductor และหุ้นกลุ่มเหมืองแร่เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare รวมถึงหุ้นสไตล์ Defensive อย่าง กลุ่ม Utilities
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้นพบว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย สู่ระดับ 4.07% ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม อย่างไรก็ดี มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ได้จำกัดการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และอาจทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจนไปก่อนได้ จนกว่า ตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP เนื่องจากภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ได้ทำให้ การประกาศข้อมูลการจ้างงานจากทาง BLS ถูกเลื่อนออกไป
อย่างไรก็ดี บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม (ทว่า หากเกิดภาวะปิดรับความเสี่ยงด้วย ก็อาจชะลอการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ได้) โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยปัจจัยเดิมอย่างการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดโดยบรรดาผู้เล่นในตลาด และปัจจัยใหม่ คือ ความต้องการถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดปิดรับความเสี่ยง อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน อีกทั้ง ทางการญี่ปุ่นก็เริ่มส่งสัญญาณพร้อมเข้าดูแลค่าเงินเยนญี่ปุ่น หลังอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 100.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.9-100.3 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า บรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) กลับเผชิญแรงกดดันจากทั้งการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้อานิสงส์จากการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด (ทำให้เงินดอลลาร์น่าสนใจมากกว่าทองคำ) และแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลง สู่โซน 3,940-3,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่จะรับรู้ในช่วงราว 20.15 น. ตามเวลาประเทศไทย และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ซึ่งจะรับรู้ในช่วง 21.00 น. พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม การพิจารณาไต่สวนคดีเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court)
ส่วนในฝั่งจีนนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการบริการ โดย RatingDog (เดิม Caixin) ซึ่งจะสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคบริการในส่วนของธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง เป็นส่วนใหญ่
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown เป็นวันที่ 35 และมีแนวโน้มที่ภาวะ Government Shutdown ในครั้งนี้ อาจยาวนานเป็นประวัติการณ์ได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง และอาจเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินผันผวนและเข้าสู่ช่วงภาวะปิดรับความเสี่ยง
อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งจะขึ้นกับการทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงนี้ ออกมาแย่กว่าคาด ก็จะทำให้ ผู้เล่นในตลาดกลับมาทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้ เงินดอลลาร์ย่อตัวลงได้บ้าง ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาดต่อเนื่อง (สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวขึ้นของดัชนี US Economic Surprise ซึ่งดูได้ในรายงาน Week Ahead ของเราในวันจันทร์ที่ผ่านมา) ก็สามารถหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้ไม่ยาก ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม
โดยเรามองว่า ในช่วงคืนนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรับรู้ รายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ซึ่งแม้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลดังกล่าวมากนัก เนื่องจากสุดท้ายก็จะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานจากทาง BLS อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls, NFP) ทำให้สถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) แกว่งตัวในระดับ +/-1 SD หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว 30 นาที ราว +0.05%/-0.12% ซึ่งน้อยกว่า การแกว่งตัวหลังรับรู้รายงาน NFP อย่างเห็นได้ชัด แต่เนื่องจากตลาดจะยังไม่ได้รับรู้รายงาน NFP จนกว่าภาวะ Government Shutdown จะสิ้นสุดลง ทำให้ เรามองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงที่อาจผันผวนในกรอบที่กว้างมากขึ้น เช่นระดับ +/- 2SD หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP
และที่สำคัญ เราขอเน้นย้ำว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ก็อาจถูกจำกัดลง และเงินดอลลาร์ก็มีความเสี่ยงย่อตัวลงได้บ้าง จากประเด็นการพิจารณาคดีเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ซึ่งจะเริ่มการไต่สวนในวันที่ 5 พฤศจิกายน นี้ โดยหากเริ่มมีแนวโน้มที่ศาลสูงสุดจะยืนคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act 1977 (IEEPA) ซึ่งอาจนำไปสู่การระงับมาตรการภาษีนำเข้าและมีโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องชดเชยภาษีนำเข้าที่ได้เรียกเก็บก่อนหน้า ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง (Fiscal Concerns) ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น จากแรงขายบอนด์ระยะยาวสหรับฯ ก็ตาม ส่วนราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลัก (อย่างล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ BOJ จนส่งผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่น) ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.70 บาทต่อดอลลาร์











