นายกรัฐมนตรี และนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความร่วมมือ 2 ฉบับ ระหว่างไทย–สิงคโปร์ ว่าด้วย “การค้าข้าว” เพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร และ “การพัฒนาศักยภาพสาธารณสุข” ด้านการดูแลผู้สูงอายุ พร้อมประกาศเดินหน้าความร่วมมือใน 4 ด้านหลัก ทั้งเศรษฐกิจสีเขียว การลงทุน เทคโนโลยี ความมั่นคง และการเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียน ย้ำสัมพันธ์สองประเทศมั่นคงยาวนานกว่า 60 ปี และจะเติบโตต่อบนพื้นฐานของมิตรภาพและความร่วมมือที่ยั่งยืน.
เมื่อเวลา 12.05 น. วันที่ 7 พ.ย.(ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง) ที่กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย และนายลอว์เรนซ์ หว่อง (H.E. Mr. Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและสิงคโปร์ รวม 2 ฉบับประกอบด้วย 1.บันทึกความร่วมมือด้านการค้าข้าวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานอาหารสิงคโปร์ (Singapore Food Agency : SFA) โดยมีสาระสำคัญเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคและส่งเสริมการค้าระหว่างสองประเทศ ไทยตกลงจะจำหน่ายข้าวให้แก่รัฐบาลสิงคโปร์ในปริมาณสูงสุดไม่เกิน 100,000 ตันต่อปี โดยถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าและความร่วมมือระหว่างไทย–สิงคโปร์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมสร้างกลไกความร่วมมือด้านการค้าอย่างเป็นระบบ และเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกข้าวไทยเข้าสู่ตลาดสิงคโปร์ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ 2. บันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาศักยภาพผู้นำด้านสาธารณสุขเพื่อการดูแลผู้สูงอายุในเมือง ระหว่างสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร เพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กับ Singapore Health Services เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการ การพัฒนาและถ่ายทอดนวัตกรรม และการฝึกอบรมด้านการดูแลผู้สูงอายุแบบไร้รอยต่อ อันจะช่วยพัฒนาทักษะและศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ไทย ให้สามารถเป็นผู้ฝึกสอน ถ่ายทอดความรู้และเสริมสมรรถนะของบุคลากรในสถานบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายหลังพิธีแลกเปลี่ยนความตกลง นายอนุทิน และนายลอว์เรนซ์ ร่วมกันแถลงข่าว โดยนายกฯไทย กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ พร้อมขอบคุณในไมตรีจิตและการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่มอบให้ การเยือนครั้งนี้มีความสำคัญและเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไทยและสิงคโปร์เฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ซึ่งความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศใกล้ชิดทุกระดับ ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นที่สนใจและเป็นประโยชน์ร่วมกัน ใน 4 ด้าน ดังนี้ 1.ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามในความตกลงว่าด้วยการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งถือเป็นความตกลงฉบับแรกของสิงคโปร์กับประเทศสมาชิกอาเซียน และจะเปิดทางให้ทั้งสองประเทศสามารถเริ่มซื้อขายคาร์บอนเครดิตร่วมกันได้ในเร็ว ๆ นี้ รวมทั้งยืนยันการสนับสนุนโครงการเชื่อมโยงพลังงานไฟฟ้าระยะที่สอง (Lao PDR–Thailand–Malaysia–Singapore Power Integration Project Phase 2) เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านพลังงานในภูมิภาค รวมถึงได้หารือแนวทางความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย
นายกฯกล่าวต่อว่า 2.ความร่วมมือเพื่อเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกันมากขึ้น ไทยชื่นชมสิงคโปร์ที่เป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และยินดีต้อนรับการลงทุนเพิ่มเติมจากสิงคโปร์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า ไบโอเทค และ Data Centers นอกจากนี้ไทยและสิงคโปร์ยังพร้อมสนับสนุนความร่วมมือทางด้านดิจิทัลผ่านความตกลงหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจดิจิทัล และความตกลงกรอบเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน ทั้งนี้ ความมั่นคงทางอาหาร ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านการค้าข้าวในวันนี้ ซึ่งจะรับประกันการส่งออกข้าวคุณภาพสูงจากไทยเพื่อผู้บริโภคในสิงคโปร์
สาธารณสุข ทั้งสองฝ่ายยังยินดีต่อการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาศักยภาพผู้นำด้านสาธารณสุขเพื่อการดูแลผู้สูงอายุในเมือง ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ไทยในการรับมือกับความท้าทายของสังคมสูงวัยในอนาคต

นายกฯ กล่าวอีกว่า 3.การเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ไทยและสิงคโปร์จะเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือในด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และยกระดับความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมทางออนไลน์ โดยประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ในเร็ว ๆ นี้ และจะทำงานร่วมกับสิงคโปร์และประเทศอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด 4.การประสานความร่วมมือในระดับภูมิภาคไทยและสิงคโปร์ยืนยันจะกระชับการประสานความร่วมมือในระดับภูมิภาคมากยิ่งขึ้น ทั้งสองประเทศเห็นพ้องจะผลักดันให้เกิดการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อเปิดศักยภาพของตลาดอาเซียน โดยไทยพร้อมใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ในการเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาค ไทยและสิงคโปร์จะยึดมั่นในระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดตามกฎระเบียบ ท่ามกลางแรงกดดันของกระแสกีดกันทางการค้า
นายกฯ ยังได้แจ้งต่อนายกฯสิงคโปร์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาด้วย และยืนยันถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะดำเนินการตาม Joint Declaration ที่ลงนาม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ต.ต.ที่ผ่านมา และขอขอบคุณสิงคโปร์ที่ให้การสนับสนุนไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยได้รับการสนับสนุนจากอาเซียน.





































