หน้าแรกHighlight“ภูมิธรรม”โพสต์ชี้แจงไทม์ไลน์เหตุปะทะ ยันชัดไม่มีคำสั่งหยุดยิงจากฝ่ายการเมือง

“ภูมิธรรม”โพสต์ชี้แจงไทม์ไลน์เหตุปะทะ ยันชัดไม่มีคำสั่งหยุดยิงจากฝ่ายการเมือง

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ภูมิธรรม’ โพสต์แจงไทม์ไลน์ ยัน ไม่มีคำสั่งหยุดยิงจากฝ่ายการเมือง ลั่น มอบอำนาจให้กองทัพมีอิสระ ชี้ ทุกการตัดสินใจในเวลานั้นมีจุดยืนเพียงหนึ่งเดียวเพื่อปกป้องอธิปไตยไทย เลี่ยงความรุนแรง ลดความสูญเสียของกำลังพล-ประชาชนตามแนวชายแดน

วันที่ 10 พ.ย.68 นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำกับดูแลด้านความมั่นคง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชี้แจงไทม์ไลน์กรณีที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการสู้รบกับกัมพูชาช่วงระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังรบวันแรกใน 6 ชั่วโมง มีคำสั่งผู้ใหญ่ให้หยุดยิง ระบุว่า

เมื่อมีการพูดถึง “คำสั่งหยุดยิง” ในช่วงระหว่างเหตุการณ์ที่มีการปะทะกันระหว่างกองทัพไทยกับกัมพูชา ทำให้เกิดคำถาม​คาดเดา​ไปต่างๆ นานา​ และสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสังคม

ในฐานะผู้เคยปฏิบัติหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลด้านความมั่นคง และประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ผมเห็นว่าควรนำข้อเท็จจริงจากช่วงเวลานั้นมาอธิบายให้ประชาชนได้รับทราบอย่างชัดเจน​ดังนี้

1. หลังจากเกิดเหตุความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลในขณะนั้นได้เรียกประชุม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568

ที่ประชุมได้มีการหารืออย่างรอบคอบ และมีมติสำคัญคือ > “มอบอำนาจให้กองทัพสามารถตัดสินใจได้ตามหลัก Rules Of Engagement (ROE)” ซึ่งหมายความว่า กองทัพไทยมีอำนาจเต็มในการตัดสินใจเชิงยุทธวิธี เพื่อป้องกันประเทศตามสถานการณ์ในพื้นที่ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากฝ่ายการเมือง

2.การปฏิบัติการป้องกันประเทศในครั้งนั้น มีสองระดับที่ชัดเจน คือ

ระดับนโยบาย (รัฐบาล): กำหนดกรอบยุทธศาสตร์และแนวทางทางการเมือง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ระดับปฏิบัติ (กองทัพ): เป็นผู้ดำเนินการตามหลักยุทธวิธีและ ROE ที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจาก สมช.

ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า “มีคำสั่งหยุดยิงจากฝ่ายการเมือง” ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะในห้วงเวลานั้น กองทัพได้รับอำนาจในการปฏิบัติอย่างอิสระ ภายใต้กรอบกฎหมายและกติกาสากล

3. ตลอดช่วงสถานการณ์ มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่าง สมช. กระทรวงกลาโหม และกองทัพภาคที่เกี่ยวข้อง โดย สมช. ทำหน้าที่ “กำหนดทิศทางและเป็นศูนย์รวมข้อมูล” ให้รัฐบาลใช้ตัดสินใจในเชิงนโยบาย

ในขณะที่หน่วยปฏิบัติได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายและเสรี ในการปฏิบัติหน้าที่

ผ่านกลไกของกฎอัยการศึกเฉพาะพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับสามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องผลทางกฎหมายภายหลัง

ทั้งนี้​ ในกระบวนการขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวในข้างต้น รัฐบาลในขณะนั้นมีหลักการสำคัญ โดยยึดมั่นในสันติวิธีตามหลักสากลและการเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ แต่จะไม่ยอมให้ใครละเมิดแผ่นดินไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และทุกการตัดสินใจอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและกลไกความมั่นคงของรัฐ

ที่ผ่านมา ในช่วงที่ผมเป็น รมว.กลาโหม ได้ทำงานประสานกับผู้นำเหล่าทัพต่างๆ

อย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีการหารือ และรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบคอบ

ผมเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของผู้นำเหล่าทัพทุกท่าน ทำให้ภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศผ่านไปด้วยความราบรื่น และอำนวยประโยชน์ให้ประเทศอย่างสูงสุด โดยยึดหลักความรับผิดชอบ โปร่งใส และคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ

ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ทุกการตัดสินใจในช่วงเวลานั้น มีจุดยืนเพียงหนึ่งเดียวคือ

“ปกป้องอธิปไตยของไทย ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และ หลีกเลี่ยงความรุนแรงเพื่อลดความสูญเสียของกำลังพลและพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนให้ได้มากที่สุด”

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisement -spot_imgspot_img

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img