“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาดการประชุม “กนง.” 28 ก.ย.นี้ จะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ระดับ 1.00% ท่ามกลางแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าสุดในรอบ 16 ปี และมีแนวโน้มที่เงินบาทจะอ่อนค่าต่อเนื่อง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดหมายว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ระดับ 1.00% ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี กนง. คงจะยังทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้า ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและยังคงเปราะบาง จากหนี้ในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดย กนง. คงหลีกเลี่ยงที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแรง เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ กนง. คงมีมุมมองว่าการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ คงจะช่วยพยุงให้ค่าเงินพลิกกลับมาแข็งค่าได้บ้าง อีกทั้ง กนง. คงมีมุมมองว่าเสถียรภาพด้านอัตราแลกเปลี่ยนคงเป็นประเด็นระยะสั้น และยังพอมีเวลาที่จะติดตามสถานการณ์และเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินได้ในระยะข้างหน้า
ทั้งนี้ หากในการประชุมที่จะถึงนี้ กนง. มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.25 ตามคาด คงมีแรงกดดันให้ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและค่าเงินดอลลาร์ฯ รวมถึงดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่จะส่งผลต่อแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ หากกนง. มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.25 ในการประชุมกนง. ที่จะถึงนี้ คงส่งผลให้ค่าเงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันให้อยู่ในทิศทางอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี หากในระยะข้างหน้า เฟดไม่ได้มีการส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว ขณะที่หากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยเป็นไปตามคาด อาจส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกกลับมาเกินดุลได้ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งก็อาจเป็นปัจจัยหนุนต่อทิศทางค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ตาม หากทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงไม่ลดลงอย่างชัดเจนและเฟดยังคงต้องเร่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องไปในการประชุมในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ค่าเงินบาทคงเผชิญแรงกดดันให้อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้และการพลิกภาพกลับมาแข็งค่าของค่าเงินบาทคงล่าช้าออกไปกว่าเดิม