เงินบาทเปิดตลาด 36.17 บาทต่อดอลลาร์ หลังดอลลาร์อ่อนค่าหนักผลพวงจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ จับตาถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่เฟด เกาะติดผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ที่ระดับ 36.17 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นแรง” ทำสถิติใหม่รอบ 2 เดือนกว่า นับจาก ส.ค. จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.94 บาทต่อดอลลาร์ โดยบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินอาจช่วยหนุนให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นใกล้โซนแนวรับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ จากแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจเดินหน้าเข้าซื้อหุ้นไทย
แต่ทว่าเราอยากให้ระมัดระวัง ความผันผวนที่อาจกลับมา หากรายงานข้อมูล GDP อังกฤษ ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ตลาดยิ่งมั่นใจแนวโน้มการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของอังกฤษ ซึ่งอาจส่งผลให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ หลังจากที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์
นอกจากนี้ ในเชิงเทคนิคัล การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลให้เงินบาทเข้าสู่ช่วง RSI Oversold (กราฟเงินบาทรายวัน) ทำให้การแข็งค่าของเงินบาทอาจเริ่มชะลอลงและมีโอกาสเห็นค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้เร็ว หากปัจจัยมีการเปลี่ยนแปลง อาทิ เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ตามตลาดกลับมาปิดรับความเสี่ยง หรือจากการอ่อนค่าของสกุลเงินหลักอื่นๆ
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่าน ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.00-36.30 บาท/ดอลลาร์
ตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) อีกครั้ง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ Amazon +12%, Apple +8.9%, Microsoft +8.2% ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า +7.35%
ส่วนดัชนี S&P500 ก็พุ่งขึ้น + 5.54% โดยแรงซื้อหุ้นในฝั่งสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังรายงานข้อมูลเงินเฟ้อพื้นฐาน หรือ Core CPI ในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นเพียง +0.3% จากเดือนก่อนหน้า น้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ +0.5% และเป็นการชะลอตัวลงต่อเนื่องของเงินเฟ้อพื้นฐาน
นอกจากนี้บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็ต่างออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลง ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งมั่นใจแนวโน้มเฟดชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย โดยล่าสุดจาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดมองโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ในเดือนธันวาคมสูงถึง 90% ก่อนที่จะทยอยขึ้นเพียง +0.25% ในการประชุมครั้งถัดๆ ไป และมีโอกาส 50-50 ที่จะขึ้นไปถึงระดับ 5.25%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พลิกกลับมาพุ่งขึ้นราว +2.75% ตามบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาด จากรายงานเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI สหรัฐฯ ที่ชะลอลงมากกว่าคาด ซึ่งหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้น Growth ต่างปรับตัวขึ้นแรง อาทิ Adyen +13.4%, ASML +9.7%, Hermes +5.9% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงออกมาดีกว่าคาด
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจว่า เฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยไปสูงมาก หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลงแรงกว่า -30bps สู่ระดับ 3.80% ซึ่งเรามองว่า การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงคืนที่ผ่านมาก็อาจส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ระยะยาวในฝั่งเอเชีย ปรับตัวลดลงได้บ้าง
อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า แม้ว่าเฟดอาจจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ตามคาด แต่ความไม่แน่นอนของจุดสูงสุดดอกเบี้ยนโยบายเฟด (Terminal Rate) ก็อาจส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังเคลื่อนไหวผันผวนและอาจปรับตัวสูงขึ้นได้ ซึ่งเรามองว่าควรหาจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยซื้อ มากกว่าจะไล่ราคาในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ลดลง
ในฝั่งตลาดค่าเงิน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ท่ามกลางแนวโน้มเฟดอาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย และการปรับตัวลงแรงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหนัก เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงแรง -2.3% สู่ระดับ 108.2 จุด
โดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลงแรงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) พุ่งขึ้นต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้านที่เคยประเมินไว้ สู่ระดับ 1,756 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า การปรับตัวขึ้นแรงของราคาทองคำ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรออกมา และน่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็ว (เงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาทองคำสูงถึง 85%)
สำหรับวันนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ แม้ว่ารายงานข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุดจะชะลอตัวลงมากกว่าคาด แต่ผู้เล่นในตลาดก็อาจจะรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด (ส่วนใหญ่เป็น FOMC Voting Members) รวมถึงคาดการณ์เงินเฟ้อระยะสั้น 1 ปี และ ระยะปานกลาง 5 ปี จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment Survey)
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอติดตามผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ หลังผลการเลือกตั้งยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ในหลายรัฐที่คะแนนเสียงของทั้งสองพรรคมีความสูสีกัน และพรรคเดโมแครตก็ทำผลงานได้ดีกว่าคาด
ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดประเมินว่า ปัญหาค่าครองชีพที่สูงจากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อสูงเป็นประวัติการณ์ รวมถึงผลกระทบจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะส่งผลให้เศรษฐกิจอังกฤษในเดือนกันยายนหดตัวต่อเนื่อง -0.4%m/m ทำให้ในไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจจะหดตัวกว่า -0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนว่าเศรษฐกิจอังกฤษอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย สอดคล้องกับการประเมินของ BOE
ล่าสุดที่คาดว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเริ่มในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ไปจนถึง ไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 โดยเศรษฐกิจอาจปรับตัวลงจากจุดสูงสุดถึงจุดต่ำสุดราว -3% (ทั้งนี้ การหดตัวของเศรษฐกิจก็อาจดีกว่า การหดตัวเกือบ -7% ในช่วงวิกฤต GFC ปี 2008)