วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight"เงินบาทกลับทิศอ่อนค่า"เกาะติดข้อมูลแรงงานสหรัฐฯ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เงินบาทกลับทิศอ่อนค่า”เกาะติดข้อมูลแรงงานสหรัฐฯ

เงินบาทพลิกอ่อนค่าเปิดตลาดที่ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังดอลลาร์กลับมาแข็งค่า  เกาะติดข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ-ท่าทีประธานอีซีบีต่อการขึ้นดอกเบี้ย

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.86 บาทต่อดอลลาร์ เป็นผลมาจากการรีบาวด์ของเงินดอลลาร์ ในภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด และส่วนหนึ่งก็อาจมาจากการทยอยปิดสถานะ Short USDTHB ของผู้เล่นต่างชาติบางส่วน ทำให้ เราคงมองว่า ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หากตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง

ซึ่งในวันนี้ต้องระวังการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงาน เนื่องจากภาพตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่งก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้บ้าง ทำให้เงินดอลลาร์ยังคงมีปัจจัยหนุนอยู่

 รวมถึงท่าทีของประธาน ECB ต่อแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินยูโร (EUR) โดย เงินยูโรมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง หากประธาน ECB ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ECB อาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย หรือ แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปมากขึ้น

 อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า เงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในโซน 33.20-33.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์และเพิ่มสถานะ Short USDTHB มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.85-33.20 บาทต่อดอลลาร์  

อย่างไรก็ตาม ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนัก หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญล่าสุด อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และ ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนธันวาคม ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก ได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ เดินหน้าขายสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

 นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ต่างสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจนแตะระดับสูงกว่า 5% ก็ยิ่งกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.56%

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่จะทยอยประกาศออกมา โดยหากผลประกอบการออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็อาจกดดันให้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ย่อตัวลงต่อได้

 ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.23% ตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในฝั่งยุโรปที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ (Anglo American +2.3%) ตามความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

 ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ทว่าภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงต่อเนื่องได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงราว –12bp สู่ระดับ 3.38% ทั้งนี้ แม้เรามีมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในช่วงปลายปี ซึ่งอาจส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวลดลงต่อได้ แต่ระดับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในปัจจุบันได้ปรับตัวลงมาเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เรามองว่า นักลงทุนควรรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี มีการปรับตัวขึ้นบ้าง (เน้น Buy on Dip) ในการทยอยเพิ่มสถานะการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง พันธบัตรรัฐบาลโดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว

ขณะที่ตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทำให้ล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) รีบาวด์ขึ้นสู่ระดับ 102.4 จุด อีกครั้ง

 ทั้งนี้ แม้ว่า บรรยากาศในตลาดการเงินจะปิดรับความเสี่ยงและบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะย่อตัวลง แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซน 1,925 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะย่อตัวลงสู่ระดับ 1,910 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ซึ่งเรามองว่า หากราคาทองคำมีการย่อตัวลงต่อเนื่องใกล้โซนแนวรับแถว 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยเข้าซื้อในจังหวะย่อตัว และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง

 สำหรับวันนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของตลาดแรงงานผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) รวมถึง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims)

ส่วนเอเชีย ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) และ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นต่อเนื่อง +0.25% สู่ระดับ 3.00% และ 5.75% ตามลำดับและนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงผลการประชุมของ BNM และ BI ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของประธาน ECB (Christine Lagarde) หลังผู้เล่นในตลาดต่างลุ้นว่า ECB จะส่งสัญญาณชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้บ้างหรือไม่ จากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img