โฆษกรัฐบาลเผย หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน บูรณาการความร่วมมือแข็งขัน เดินหน้าขยายตลาดส่งออกไป UAE สำเร็จ เชื่อเพิ่มมูลค่าส่งออกไทย ปี 2566 กว่า 3 หมื่นล้านบาท พร้อมขยาย FTA ตลาดใหม่
เมื่อวันที่ 22 ก.พ.66 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อกรณีความสำเร็จของรัฐบาลซึ่งสามารถจับคู่ทางธุรกิจสร้างมูลค่ากว่า 1,330 ล้านบาท และจัดตั้งสภาธุรกิจไทยกับ UAE เพิ่มมูลค่าการส่งออกให้ประเทศในปี 2566 เพิ่มขึ้นมากกว่า 30,000 ล้านบาท
จากนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในการเพิ่มตลาดระหว่างประเทศสร้างโอกาสให้เศรษฐกิจไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน บูรณาการความร่วมมือเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้หารือเพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้าไทยกับภาครัฐและภาคเอกชนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี รับทราบผลการดำเนินงานดังกล่าว พร้อมทั้งขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับ UAE จนประสบความสำเร็จ เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ขยายตลาดส่งออกสินค้าไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศจำนวนมหาศาล และเป็นโอกาสขยายความร่วมมือไปยังกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมือรัฐประเทศอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council: GCC) อื่น ๆ ต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการเดินหน้าขยายความร่วมมือดังกล่าว ภาคเอกชนไทยกับ UAE สามารถลงนามสัญญาซื้อขายจริงรวมมูลค่ากว่า 1,330 ล้านบาท โดยเป็นการจับคู่เซ็นสัญญา 5 คู่ ในกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร สุขภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเมลามีน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามเพื่อจัดตั้งสภาธุรกิจไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับ UAE ในอนาคต สร้างเม็ดเงินให้ประเทศ เพิ่มขึ้นประมาณ 30,000 ล้านบาท สำหรับปี 2566 และเป็นโอกาสขยายตลาดส่งออกไทยไปยังประเทศในตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับมากขึ้น ผ่านความร่วมมือกับ UAE ในการเป็นประตูเชื่อมโยงการค้าการลงทุนไปยังประเทศอื่นในภูมิภาค
“นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการขยายตลาดส่งออกไทยอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศ พร้อมสั่งการเดินหน้าหาตลาดที่มีศักยภาพใหม่ ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะตลาดส่งออกผ่านความตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งสร้างรายได้ให้กับประเทศมหาศาล โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสรุปผลการเจรจา FTA ที่ค้างอยู่ให้สำเร็จ และเปิดการเจรจา FTA กับคู่ค้าใหม่ที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนายกระดับสินค้าให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องตามกระแสโลกด้วย ซึ่งจะช่วยเพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับสินค้าไทย และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของไทยท่ามกลางความท้าทายเศรษฐกิจโลก” นายอนุชา กล่าว