“พาณิชย์” เผยเงินเฟ้อเดือนก.ย.โต 0.30% ลดลงหากเทียบกับเดือนส.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 0.88% จากราคาพลังงาน และอาหารลดลงครั้งแรกในรอบ 23 เดือน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย เดือนกันยายน 2566 เท่ากับ 108.02 เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2565 ซึ่งเท่ากับ 107.70 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอตัวอยู่ที่ 0.30% (YoY) จาก 0.88% ในเดือนสิงหาคม 2566 ตามการชะลอตัวของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบ 23 เดือน เป็นผลมาจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ และกลุ่มอาหารที่ราคาลดลง ทั้งเนื้อสัตว์ ผักสด และเครื่องประกอบอาหาร ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.63 (YoY) ชะลอตัวจากร้อยละ 0.79 ในเดือนสิงหาคม 2566
อัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ (ข้อมูลล่าสุดเดือนสิงหาคม 2566) พบว่า ประเทศไทยยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และยังคงต่ำที่สุดในอาเซียน จาก 7 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย) โดยอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มยุโรป อาทิ สหราชอาณาจักร อิตาลี และเยอรมนี
สำหรับหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.59% (YoY) ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าในหมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร ได้แก่ น้ำมันกลุ่มเบนซิน และกลุ่มแก๊สโซฮอล์ (ยกเว้นกลุ่มดีเซลที่ราคาลดลงเนื่องจากมาตรการตรึงราคาของภาครัฐ) ค่าโดยสารสาธารณะ อาทิ ค่าโดยสารเครื่องบิน และค่าโดยสารรถเมล์เล็ก/สองแถว หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล อาทิ ยาแก้ไข้หวัด แป้งทาผิวกาย กระดาษชำระ ค่าแต่งผมชายและสตรี สำหรับสินค้าสำคัญที่ราคาลดลง อาทิ ค่ากระแสไฟฟ้า เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้ง ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม เครื่องปรับอากาศ และเครื่องซักผ้า ราคาลดลงเช่นกัน
โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงครั้งแรกในรอบ 23 เดือน โดยลดลง 0.10% (YoY) หลังจากที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ตามการลดลงของเนื้อสัตว์ อาทิ เนื้อสุกร และไก่สด โดยเฉพาะเนื้อสุกรที่ปริมาณผลผลิตมีจำนวนมาก ผักสด อาทิ ผักคะน้า ต้นหอม และพริกสด เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเอื้อต่อการเจริญเติบโต ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ น้ำมันพืช และมะพร้าว (ผลแห้ง/ขูด) ราคายังคงลดลงต่อเนื่องตามราคาต้นทุนวัตถุดิบ สำหรับสินค้าที่ราคาสูงขึ้น อาทิ ข้าวสารเหนียว ข้าวสารเจ้า ไข่ไก่ นมถั่วเหลือง ผลไม้สด (แตงโม ทุเรียน องุ่น) รวมถึงกาแฟผงสำเร็จรูป กับข้าวสำเร็จรูป และอาหารกลางวัน
ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกันยายน 2566 เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2566 ลดลง 0.36% (MoM) โดยหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.50% จากการลดลงของสินค้าในกลุ่มพลังงาน ทั้ง ค่ากระแสไฟฟ้า และน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงค่าโดยสารเครื่องบิน นอกจากนี้ ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ของใช้ส่วนบุคคล (ยาสีฟัน ผ้าอนามัย โฟมล้างหน้า) ราคาลดลง สำหรับสินค้าที่ราคาสูงขึ้นเล็กน้อย อาทิ เสื้อบุรุษและสตรี อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องถวายพระ บุหรี่ สุรา และไวน์ หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลง 0.16% สินค้าสำคัญที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร ไก่สด กุ้งขาว ผักสด (ต้นหอม มะเขือ ผักคะน้า) ผลไม้สด (เงาะ ลองกอง มังคุด) อาหารโทรสั่ง (delivery) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอาหารสำเร็จรูป/แพ็คพร้อมปรุง สำหรับสินค้าที่ราคาสูงขึ้น อาทิ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียวนมเปรี้ยว น้ำพริกแกง และกาแฟผงสำเร็จรูป
ดัชนีราคาผู้บริโภคไตรมาสที่ 3 ปี 2566 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2565 สูงขึ้น 0.52% (YoY) และเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สูงขึ้น 0.39% (QoQ) สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ย 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 1.82% (AoA)
โดยแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 มีแนวโน้มชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จากราคาเนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ และเครื่องประกอบอาหารที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสินค้าในกลุ่มพลังงาน (ค่ากระแสไฟฟ้า ราคาน้ำมัน) และสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพอื่นๆ ที่มีแนวโน้มลดลงจากมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และฐานราคาในช่วงเดียวกันของปี 2565 อยู่ระดับสูง มีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ตามภาคการท่องเที่ยว และการส่งออก รวมถึงรายได้เกษตรกรและค่าจ้างเฉลี่ยที่อยู่ในระดับดี รวมทั้ง สถานการณ์อุปทานพลังงานที่ยังตึงตัว สินค้าเกษตรในหลายประเทศได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ และเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง อาจเป็นแรงส่งที่ทำให้เงินเฟ้อชะลอตัวน้อยกว่าที่คาดได้
ด้วยปัจจัยดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์จึงปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2566 จากเดิมอยู่ที่ระหว่าง 1.0 –2.0% (ค่ากลาง 1.5%) ในเดือนกรกฎาคม 2566 เป็นระหว่างร้อยละ 1.0–1.7 (ค่ากลาง1.35%) และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจะมีการทบทวนอีกครั้ง
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนกันยายน 2566 ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.7 จากระดับ 53.4 ในเดือนก่อนหน้า ปรับเพิ่มขึ้นทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน และอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 (นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565) สาเหตุคาดว่า มาจากเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในทิศทางฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการวีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ตลอดจนนโยบายการดำเนินงานของรัฐบาลชุดใหม่ที่ครอบคลุมการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดรายจ่าย การเพิ่มรายได้ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน รวมทั้งการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชน อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าและบริการ รวมถึงราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยทอนต่อความเชื่อมั่นของประชาชน