“ทิสโก้” เปิดสถิติความเคลื่อนไหวสินทรัพย์การลงทุน ช่วงภาวะสงครามครั้งสำคัญ ตั้งแต่ปี 2534 ถึง 2565 คาดในระยะสั้นราคาทองคำ-น้ำมันจะปรับขึ้นจำกัด ขณะที่ Bond yield ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นหากเศรษฐกิจถดถอย
น.ส.ทิพย์รัตน์ นันทปรีดาวัฒน์ นักวิเคราะห์กลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า จากการศึกษาข้อมูลความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์การลงทุนต่างๆ ได้แก่ หุ้น น้ำมัน ทองคำ อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond yield) และดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงภาวะสงครามครั้งสำคัญตั้งแต่ปี 2534 ถึง 2565 จำนวน 6 ครั้ง พบว่า ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ตึงเครียด ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงราว 2 เดือนก่อนที่สงครามจะรุนแรงขึ้น และจะฟื้นตัวประมาณ 5-10% ในช่วง 1 เดือนที่สงครามเกิดขึ้น ส่วนราคาน้ำมันจะเร่งตัวขึ้นแรงในช่วง 3 เดือนก่อนเกิดสงคราม โดยจะทำจุดสูงสุดในช่วง 1 เดือนสุดท้าย ก่อนจะพลิกกลับมาทรงตัวที่ระดับต่ำกว่าก่อนสงครามประมาณ -10%
ขณะที่ราคาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven) ไม่เห็นการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนหลังเกิดสงคราม โดยราคาทองคำจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดช่วงตึงเครียดก่อนเกิดสงคราม และเคลื่อนไหวทรงตัวในกรอบแคบหลังจากนั้น
ส่วน Bond yield ระยะยาวจะปรับตัวลดลงราว 3 เดือนก่อนเกิดสงคราม และเคลื่อนไหวทรงตัวในช่วง 1 เดือนหลังจากนั้น ด้านดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (Dollar index) จะเคลื่อนไหวทรงตัวต่อเนื่อง 1-2 เดือนก่อนและหลังเกิดสงคราม
สำหรับมุมมองความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์การลงทุนในปัจจุบันนั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่า การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์การลงทุนในเหตุการณ์สงครามระหว่างกลุ่มฮามาสและ อิสราเอลในครั้งนี้คล้ายกับช่วงที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนในปี 2565 โดยในระยะสั้นราคาทองคำและน้ำมันอาจปรับขึ้นได้จำกัด เพราะรับข่าวสงครามไปพอสมควรแล้ว ขณะที่ Bond yield ในระยะสั้นจะทรงตัวใกล้ระดับปัจจุบัน แต่ในระยะกลางและยาวยังคงมองว่าจะปรับตัวลดลงตามมุมมองเดิม
สำหรับการตอบสนองของสินทรัพย์ในรอบนี้ มีความคล้ายกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2565 เห็นได้จากการรีบาวด์ขึ้นของราคาน้ำมัน และทองคำ แต่หากเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวเฉลี่ยในอดีตในช่วงที่เกิดสงคราม พบว่าราคาทองคำและน้ำมันปรับตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเวลาเดียวกันแล้วสะท้อนว่าที่ระดับราคาในปัจจุบันน่าจะตอบรับต่อภาวะสงครามไปพอสมควร
ด้าน Bond yield ในระยะสั้นแม้ว่าจะยังทรงตัวในระดับสูง แต่ในระยะกลางและระยะยาวจะปรับลดลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในระยะข้างหน้า และหากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2567 พันธบัตรรัฐบาลมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้น